1. กลุ่มพฤติกรรมนิยม
รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง: โมเดลซิปปา
รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง: โมเดลซิปปา
ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
ทิศนา แขมมณี (2543
: 17) รองศาสตราจารย์ ประจำคณะครุศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ได้พัฒนารูปแบบนี้ขึ้นจาประสบการณ์ที่ได้ใช้แนวคิดทางการศึกษาต่างๆในการสอนมาเป็นเวลาประมาณ30ปีและพบว่าแล้วคิดจำนวนหนึ่งสามารถใช้ได้ผลดีตลอดมาผู้เขียนจึงได้นำแนวคิดเหล่านั้นมาประสานกัน
ทำให้เกิดเป็นแบบแผนขึ้นแนวคิดดังกล่าวได้แก่
(1) แนวคิดการสร้างความรู้
(2) แนวคิดเกี่ยวกับกระบวนการกลุ่มและการเรียนรู้แบบร่วมมือ
(3) แนวคิดเกี่ยวกับความพร้อมในการเรียนรู้
(4) แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้กระบวนการ และ
(5) แนวคิดเกี่ยวกับการถ่ายโอนการเรียนรู้
ทิศนา แขมมณี (2543
: 17-20)
ได้ใช้แนวคิดเหล่านี้ในการจัดการเรียนการสอนโดยจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในลักษณะที่ให้ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยตนเอง(
construc-tion of knowledge ) ซึ่งนอกจากผู้เรียนจะต้องเรียนด้วยตนเองและพึ่งตนเองแล้วยังต้องพึ่งการปฎิสัมพัธ์
( interaction ) กับเพื่อน บุคคลอื่นๆ
และสิ่งแวดล้อมรอบตัวด้วย รวมทั้งต้องอาศัยทักษะกระบวนการ ( process skills
) ต่างๆ จำนวนมากเป็นเครื่องมือในการสร้างความรู้
นอกจากนั้นการเรียนจะเป็นไปอย่างต่อเนื่องได้ดี
หากผู้เรียนอยู่ในสภาพที่มีความพร้อมในการรับรู้ และเรียนรู้
มีประสาทการรับรู้ที่ตื่นตัวไม่เฉื่อยฉาสิ่งที่สามารถช่วยให้ผู้เรียนอยู่ในสภาพดังกล่าวได้ก็คือ
การให้มีการเคลื่อนไหวทางกาย ( physical participation ) เรียนรู้ที่มีความหมายต่อตนเองและความรู้ความเข้าใจที่เกิดขึ้น
จะมีความลึกซึ้งและอยู่คงทนมากขึ้นหากผู้เรียนมีโอกาสนำความรู้นั้นไปประยุกต์ใช้ (
application ) ในสถานการณ์ที่หลากหลาย ด้วยแนวคิดดังกล่าว
จึงเกิดแบบแผน “CIPPA” ขึ้น ซึ่งผู้สอนสามารถนำแนวคิดทั้ง 5
ดังกล่าวไปใช้เป็นหลักในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางให้มีคุณภาพได้
วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
รูปแบบนี้มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความรู้
ความเข้าใจในเรื่องที่เรียนอย่างแท้จริงโดยการให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยอาศัยความร่วมมือจากกลุ่ม
นอกจากนั้นยังช่วยพัฒนาทักษะกระบวนการต่างๆ จำนวนมาก อาทิ กระบวนการคิด
กระบวนการกลุ่ม กระการปฏิสัมพันธ์สังคม และกระบวนการแสวงหาความรู้ เป็นต้น
กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
ซิปปา ( CIPPA ) เป็นการหลักซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นหลักในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ
ให้แก่ผู้เรียน การจัดกระบวนการเรียนการสอนตามหลัก “CIPPA” นี้สามารถใช้วิธีการและกระบวนการที่หลากหลาย
ซึ่งอาจจัดเป็นแบบแผนได้หลายรูปแบบ
รูปแบบหนึ่งที่ผู้เขียนได้นำเสนอไว้และได้มีการนำไปทดลองใช้แล้วได้ผลดี
ประกอบด้วยขั้นตอนการดำเนินการ 7 ขั้นตอนดังนี้
ขั้นที่ 1 การทบทวนความรู้เดิม
ขั้นนี้เป็นการดึงความรู้เดิมของผู้เรียนในเรื่องที่จะเรียน
เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความพร้อมในการเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิมของตน
ซึ่งผู้สอนอาจใช้วิธีการต่างๆ ได้อย่างหลากหลาย
ขั้นที่ 2 การแสวงหาความรู้ใหม่
ขั้นนี้เป็นการแสวงหาข้อมูลความรู้ใหม่ของผู้เรียนจากแหล่งข้อมูลหรือแหล่งความรู้ต่างๆ
ซึ่งครูอาจจัดเตรียมมาให้ผู้เรียนหรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับแหล่งข้อมูลต่างๆ
เพื่อให้ผู้เรียนไปแสวงหาก็ได้
ขั้นที่ 3 การศึกษาทำความเข้าใจข้อมูล/ความรู้ใหม่
และเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความเดิม
ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจกับข้อมูล/ความรู้ที่หามาได้
ผู้เรียนจะต้องสร้างความหมายของข้อมูล/ประสบการณ์ใหม่ๆ โดยใช้กระบวนการต่างๆ
ด้วยตนเอง เช่น ใช้กระบวนการคิด
และกระบวนการกลุ่มในการอภิปรายและสรุปความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลนั้นๆ
ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการเชื่อมโยงกับความรู้เดิม
ขั้นที่ 4 การแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับกลุ่ม
ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนอาศัยกลุ่มเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบความรู้ความเข้าใจของตน
รวมทั้งขยายความรู้ความเข้าใจของตนเองให้กว้างขึ้น
ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนได้แบ่งปันความรู้ความเข้าใจของตนแก่ผู้อื่น
และได้รับประโยชน์จากความรู้ ความเข้าใจของผู้อื่นไปพร้อมๆ กัน
ขั้นที่ 5 การสรุปและจัดระเบียบความรู้
ขั้นนี้เป็นขั้นของการสรุปความรู้ที่ได้รับทั้งหมด
ทั้งความรู้เดิมและความรู้ใหม่
และสิ่งที่เรียนให้เป็นระบบระเบียบเพื่อช่วยให้ผู้เรียนจดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้ง่าย
ขั้นที่ 6 การปฏิบัติ และ/หรือการแสดงผลงาน
หากข้อความรู้ที่ได้เรียนรู้มาไม่มีการปฏิบัติ
ขั้นนั้นจะเป็นขั้นที่ช่วยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสแสดงผลงานการสร้างความรู้ของตนเองให้ผู้อื่นรับรู้
เป็นการช่วยให้ผู้เรียนได้ตอกย้ำหรือตรวจสอบความเข้าใจของตนเองและช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้ความคิดสร้างสรรค์แต่หากต้องมีการปฏิบัติตามข้อความรู้ที่ได้
ขั้นนี้จะเป็นขั้นปฏิบัติ และมีการแสดงผลงานที่ได้ปฏิบัติด้วย
ขั้นที่ 7 การประยุกต์ใช้ความรู้
ขั้นนี้เป็นขั้นของการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนการนำความรู้ความเข้าใจของตนไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆ
ที่หลากหลายเพื่อเพิ่มความชำนาญ ความเข้าใจ
ความสามารถในการแก้ปัญหาและความจำในเรื่องนั้นๆ
หลังจากการประยุกต์ใช้ในความรู้
อาจจะมีการนำเสนอผลงานจากการประยุกต์อีกครั้งก็ได้
หรืออาจไม่มีการนำเสนอผลงานในขั้นที่ 6
แต่นำมารวมแสดงในขั้นตอนท้ายหลังขั้นการประยุกต์ใช้ก็ได้เช่นกัน
ขั้นตอนตั้งแต่ขั้นที่ 1-6 เป็นกระบวนการของการสร้างความรู้ ( construc-tion of knowledge ) ซึ่ง ครูสามารถจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนมีโอกาสปฏิสัมพันธ์แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน
( interaction ) และฝึกฝนทักษะกระบวนการต่างๆ ( process
learning ) อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากขั้นตอนแต่ละขั้นตอนช่วยให้ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมหลากหลายที่มีลักษณะให้ผู้เรียนได้มีการเคลื่อนไหวทางกาย
ทางสติปัญญา ทางอารมณ์ และทางสังคม อย่างเหมาะสม 6 ทีคุณสมบัติตามหลักการ CIPP
ส่วนขั้นตอนที่ 7 เป็นขั้นตอนที่ช่วยให้ผู้เรียนนำความรู้ไปใช้ ( application
) จึงทำให้เป็นรูปแบบนี้มีคุณสมบัติครบตามหลัก CIPPA
ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
ผู้เรียนจะเกิดความเข้าใจในสิ่งที่เรียน
สามารถอธิบาย ชี้แจง ตอบคำถามได้ดี นอกจากนั้นยังได้พัฒนาทักษะในการคิดวิเคราะห์
การคิดสร้างสรรค์ การทำงานเป็นกลุ่ม การสื่อสาร รวมทั้งเกิดความใฝ่รู้ด้วย
เช่นการสอนด้วยคอมพิวเตอร์ CAI เป็นการสอนแบบเน้นการช่วยเหลือตนเอง จะเรียนเมื่อไหร่ก็ได้เอาแผ่น CAI
มาเปิดดูทางคอมได้ทุกเวลา
การสอนแบบโครงงาน
การสอนแบบโครงงาน
การสอนแบบโครงงานเป็นการสอนที่บ่งชี้ถึงความไร้กระบวนท่าของครู ที่เริ่มด้วยการจูงใจยั่วยุ
ท้าทาย ให้นักเรียนเกิดความสนใจ
ตั้งใจ อยากรู้อยากเห็น ตื่นเต้นที่จะตอบคำถาม ตั้งคำถาม และเกิดความอยากรู้ จนนำไปสู่การวางแผนการ สำรวจ สืบค้น ทดลอง
ปฏิบัติการ
ภายใต้ความพร้อมที่จะอำนวยความสะดวก ในเรื่อง เครื่องมือ สื่อ
อุปกรณ์ ที่ใช้ในการปฏิบัติการเรียนรู้
ดูแล จูงใจ ชี้ช่องทาง
ให้เกิดความถูกต้อง เหมาะสม จนนักเรียนสร้างองค์ความรู้ที่เป็นของตนเองได้ สามารถอธิบายได้ นำเสนอได้
ตอบคำถามในสิ่งที่เรียนได้อย่างคล่องแคล่ว เกิดความภาคภูมิใจในตนเอง
และเป็นแรงเสริมให้ใฝ่เรียน ใฝ่รู้
แนวการสอนการเรียน
การสอนของครู
|
การเรียนของนักเรียน
|
-ขณะสอนหรือนอกเวลาสอนปกติตาสถานการณ์ที่เหมาะสมครูจะจูงใจ
ยั่วยุ ท้าทาย เร่งเร้า ด้วยความเมตตาและกระตือรือร้น
Question
(for students) to Plan
กำลังทำอะไร
เพื่ออะไร
มีอะไรที่น่าสนใจบ้างไหม
จะได้อะไรจากความสนใจ
|
-นักเรียนเกิดความสนใจที่จะเรียน
หรือเกิดความต้องการที่จะรู้ในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่กำลังเรียน
หรือสิ่งที่ครูตั้งใจจะสอนและเกิดประเด็น(Topic)ที่จำหาคำตอบในทันทีหรือใช้เวลาในการหาคำตอบ
|
การสอนของครู
|
การเรียนของนักเรียน
|
-ในกรณีที่ครูคิดว่าต้องใช้เวลาในการหาคำตอบ ครูสอบถามเพื่อให้นักเรียนแจ่มชัดในวัตถุประสงค์ และเป้าหมายในการหาคำตอบ วิธีการ และสื่อ เครื่องมือ
อุปกรณ์ที่นักเรียนจะได้คำตอบมาพร้อมวัน ตั้งแต่เวลาที่จะเริ่มต้นปฏิบัติ และวันสิ้นสุด
Question
(for students) to Plan
อะไรคือผลที่ต้องการกันแน่
ตั้งเป็นวัตถุประสงค์ได้ไหม อย่างไรดี
เป้าหมายละเป็นอย่างไร
มีขั้นตอนปฏิบัติอย่างไรบ้าง
จะปฏิบัติขั้นตอนไหน
เมื่อไร
เร็วไปไหม
ช้าไปไหม ใช้เวลานาไปไหม
|
-นักเรียนตั้งวัตถุประสงค์ เป้าหมาย
และบอกวิธีการที่นำไปสู่วัตถุประสงค์ เป้าหมาย
พร้อมสื่อ
เครื่องมือ อุปกรณ์ที่จะใช้
|
-เสริมแรงขณะปฏิบัติการหากมองเห็นความขัดข้องในการปฏิบัติให้ระดมพลังสมองของตนเอง
หรือร่วมกันระดมพลังสมองจากหลาย ๆ คน
หรือซักถามถึงข้อดี ข้อเสียของวิธีการ
Questions (for students) to do
คิดหลาย ๆ ทางได้ไหม
เรียกเพื่อนมาระดมพลังกันดีไหม
มั่นใจอย่างไรว่าถูกต้อง
ทบทวนในประเด็นนี้อีกทีไหม
ข้อนี้คิดได้อย่างไร
น่าทึ่งมาก
ทำได้เหมือนนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำเลยนะ
ครูคิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะทำได้ขนาดนี้
เยี่ยมจริง ๆ
|
-เกิดความคิดรอบคอบถี่ถ้วนในการปฏิบัติการ ปฏิบัติได้อย่างมั่นใจ
|
การสอนของครู
|
การเรียนของนักเรียน
|
-ตั้งคำถามให้เกิดการประเมินผลตาม
วัตถุประสงค์ และเป้าหมาย
และสรุปได้
Question
(for students) to check and Action
จะสรุปผลอย่างไร
ได้ผลตามวัตถุประสงค์
เป้าหมายไหม
มั่นใจอย่างไรว่าเป็นข้อสรุปที่ถูกต้อง
มีอะไรที่เป็นความภาคภูมิใจที่สุดจากงานนี้
เกิดความคิดจากการทำงานชิ้นนี้บ้างไหม
อะไร
หากมีใครมาถามถึงเรื่องนี้
จะอธิบายให้เขาเข้าใจภายใน 1 นาที ได้อย่างไร ลองอธิบายให้ครูฟังซิ
|
-สรุปผลการปฏิบัติได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์
เกิดความภาคภูมิใจ
|
การสอนโครงงานเป็นการสอนที่มุ่งเน้นให้นักเรียนสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง เพราะองค์ความรู้ที่สร้างขึ้นเองเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่ารู้จริงเป็นองค์ประกอบของการนำไปใช้ในการแก้ปัญหาเผชิญสถานการณ์จริงได้
อย่างยั่งยืน
เป็นการสอนที่สลัดทิ้งการสอนแบบให้จำได้ด้วยการบอก
อย่างก็ดีการสอนด้วยโครงงานที่สมบูรณ์แบบอาจไม่สามารถสอนได้หากนักเรียนยังไม่มีพื้นฐานเพียงพอแต่ก็สามารถนำแนวทางการสอนที่กล่าวมาแล้วไปปรับใช้เพื่อสร้างองค์ความรู้
ที่ใช้หลักการครูใช้ PDCA เพื่อให้นักเรียนได้ PDCA
จนสามารถนำเสนอสิ่งที่เรียนรู้ได้อย่างคน รู้จริง
การจัดการเรียนรู้แบบแสดงบทบาทสมมติ (Role Playing)
การจัดการเรียนรู้แบบแสดงบทบาทสมมติ (Role Playing)
การสอนแบบแสดงบทบาทสมมติ
เป็นวิธีสอนที่ผู้สอนกำหนดหัวข้อเรื่อง ปัญหาต่างๆ
หรือสร้างสถานการณ์ขึ้นมาให้คล้ายกับสภาพความเป็นจริง
แล้วให้ผู้เรียนได้เตรียมการล่วงหน้า
แล้วจึงแสดงบทบาทตามที่สมมติขึ้นมาอันเป็นแนวทางที่สามารถนำไปแก้ปัญหาต่างๆที่อาจจะประสบในชีวิตประจำวัน
วราภรณ์ ศุนาลัย
(2536, หน้า 35 อ้างอิงใน
กรมวิชาการ, 2543ข, หน้า 18) กล่าวว่า การสอนแบบแสดงบทบาทสมมติ เป็นวิธีสอนที่ผู้สอนกำหนดหัวข้อเรื่อง ปัญหาต่างๆ
หรือสร้างสถานการณ์ขึ้นมาให้คล้ายกับสภาพความเป็นจริง แล้วให้ผู้เรียนได้เตรียมการล่วงหน้าแล้วจึงแสดงบทบาทตามที่สมมติขึ้นมาอันเป็นแนวทางที่สามารถนำไปแก้ปัญหาต่างๆ ที่อาจจะประสบในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ผู้เรียนก็สามารถแสดงบทบาทในชั้นเรียน โดยไม่มีการเตรียมตัวล่วงหน้า
วารี ถิรจิตร
(2534, หน้า 186 อ้างอิงใน กรมวิชาการ, 2543ข,
หน้า 18) กล่าวว่า
บทบาทสมมติ หมายถึงการสมมติบทบาทและจัดสถานการณ์ให้ผู้แสดงบทบาทได้แสดงความรู้สึกนึกคิดอารมณ์จากสถานการณ์ที่สมมติขึ้นซึ่งอาจจะเตรียมมาก่อน ภายหลังของการแสดงบทบาทสมมติ
จะต้องมีการอภิปรายเกี่ยวกับการแสดงบทบาทความรู้สึกนึกคิดของผู้แสดงผู้ดูและมีการสรุปผลของการแสดงบทบาทนั้นด้วย
การแสดงบทบาทสมมติเป็นการฝึกให้ผู้แสดงได้ประสบกับสถานการณ์จริงในสภาพของการสมมติ ขึ้นมาทั้งนี้เพื่อฝึกให้ผู้เรียนได้ทดลองและเรียนรู้ที่จะปรับพฤติกรรมของตนอย่างมีประสิทธิภาพในสภาวะต่างๆ
การสอนโดยการแสดงบทบาทสมมติ (Role Playing) คือ
เทคนิคการสอนที่ให้ผู้เรียนแสดงบทบาทในสถานการณ์ที่สมมติขึ้นนั่นคือแสดงบทบาทที่กำหนดให้การแสดงบทบาทสมมติมี 2ลักษณะ คือ
1. ผู้แสดงบทบาทสมมติจะต้องแสดงบทบาทของคนอื่น
โดยละทิ้งแบบแผนพฤติกรรมของตนเองหรือการเปลี่ยนบทบาทซึ่งกันและกันกับเพื่อนหรือเป็นบุคคลสมมติ
2.ผู้แสดงบทบาทจะยังคงรักษาบทบาทและแบบแผนพฤติกรรมของตน แต่ปฏิบัติอยู่ในสถานการณ์ที่อาจพบในอนาคต
บทบาทสมมติประเภทนี้เป็นประโยชน์ต่อการฝึกฝนทักษะเฉพาะ
บทบาทสมมติที่ใช้ประกอบการเรียนการสอนอยู่ในปัจจุบันนี้ แยกได้เป็น
3 วิธี ดังนี้ 1.
การแสดงบทแสดงละคร
วิธีนี้ผู้ที่จะแสดงต้องฝึกซ้อมแสดงท่าทางตามบทที่กำหนดขึ้นไว้แล้ว เช่น
การแสดงละครเรื่องที่เกี่ยวกับบทเรียนในหนังสือเรียนภาษาไทยผู้แสดงบทบาทสมมติแบบละครจะต้องพูดตามบทบาทที่ผู้เขียนกำหนดขึ้น
2. การแสดงบทบาทสมมติแบบไม่มีบทเตรียมไว้
ผู้แสดงต้องไม่ฝึกซ้อมมาก่อนเรียนไปถึงเรื่องใดตอนใดก็ออกมาแสดงได้ทันที โดยแสดงไปตามความรู้สึกนึกคิดของตนเอง เช่น
แสดงเป็นบุคคลต่างๆ ในชุมนุมชน เป็นหมอ
เป็นทหาร เป็นตำรวจ นักเรียนได้คิด ได้พูดและแสดงพฤติกรรมจากความรู้สึกนึกคิดของเขาเอง
3.
การใช้บทบาทสมมติแบบเตรียมบทไว้พร้อม
ผู้สอนได้เตรียมบทมาไว้ล้วงหน้าบอกความคิด รวบยอดให้ผู้แสดงทราบผู้แสดงอาจต้องแสดงตามบทบาทบ้างคิดบทบาทขึ้นแสดงเองตามความพอใจบ้าง แต่ต้องตรงกับเนื้อเรื่องที่กำหนดให้
ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้
การจัดการเรียนรู้แบบแสดงบทบาทสมมติ มีขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. ขั้นเตรียมการใช้บทบาทสมมติ แบ่งเป็น
2 ขั้นตอน ดังนี้
1.1 ขั้นการกำหนดวัตถุประสงค์เฉพาะ
ผู้สอนควรศึกษาและทำความเข้าใจพื้นฐานเสียก่อนว่าต้องการให้ผู้เรียนได้รับความรู้อะไรบ้างจากการแสดงและกรรมวิธีในการใช้บทบาทสมมตินำไปเพื่อต้องการให้เกิดอะไรขึ้น
1.2 ขั้นสร้างสถานการณ์และบทบาทสมมติ เมื่อผู้สอนได้ศึกษาและเข้าใจรายละเอียดเกี่ยวกับวัตถุประสงค์เฉพาะในการเตรียมใช้บทบาทสมมติแล้วก็จำเป็นต้องสร้างสถานการณ์และบทบาทสมมติให้สอดคล้องต้องกันกับวัตถุประสงค์ดังกล่าวซึ่งจำเป็นต้องเล็งเห็นถึงวัยของผู้เรียน เนื้อหาสาระ
ปัญหา ความเป็นจริง ข้อโต้แข้ง
ตลอดจนอุปสรรคที่จำเป็นต่างๆ
ที่ผู้สอนต้องให้ผู้เรียนได้รู้จักคิด
ปฏิบัติและแก้ไขด้วยตนเอง
2. ขั้นแสดงบทบาทสมมติ แบ่งเป็น
7 ขั้นตอน ดังนี้
2.1 การนำเข้าสู่สถานการณ์ ผู้สอนเตรียมเรื่องหรือสถานการณ์ให้ผู้เรียน
แล้วนำเรื่องราวมาเล่าให้ผู้เรียนฟัง
เพื่อเป็นการเร้าความสนใจ เป็นแรงจูงใจให้ผู้เรียนอยากเรียนและ อยากติดตาม
และควรให้ผู้เรียนได้เล็งเห็นประโยชน์ที่จะได้รับ จากการที่เข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงบทบาทสมมตินั้นๆ
2.2 การกำหนดตัวผู้แสดง
การเลือกผู้แสดงขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของการสอนและ การแสดงสำหรับการเลือกตัวผู้แสดง
ควรให้ผู้เรียนอาสาสมัครมาแสดงบทบาทด้วยความเต็มใจ
2.3 การจัดสถานที่
ผู้สอนควรให้ผู้เรียนได้ร่วมมือในการจัดสถานที่สำหรับการแสดงบทบาทสมมติ
ซึ่งควรจัดและดัดแปลงให้เหมาะสมกับเนื้อเรื่องที่กำหนดไว้
2.4
การกำหนดตัวผู้สังเกตการณ์ โดยผู้สอนอาจจะกำหนดผู้เรียนกลุ่มหนึ่งให้เป็น ผู้สังเกตการณ์ในการแสดงบทบาทโดยฝึกให้เป็นคนช่างสังเกตและรวบรวมข้อมูลต่างๆเพื่อนำมาวิเคราะห์ อภิปราย
และแก้ปัญหาร่วมกัน
หลังจากสิ้นสุดการแสดงบทบาทสมมติแล้ว
2.5 การเตรียมพร้อมก่อนการแสดง วิธีเตรียมความพร้อมนั้นผู้สอนต้องเป็นผู้ช่วยเหลือไม่ให้ผู้เรียนต้องมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการแสดงให้มากเกินไป ควรชี้แจงให้ผู้แสดงทราบว่า การแสดงก็เหมือนกับการพูด คุย
และเล่นกันธรรมดา เพียงแต่ต้องแสดงบทบาทต่างๆ
ตามที่ได้กำหนดไว้เท่านั้น
2.6 การลงมือแสดง เมื่อผู้แสดงพร้อมแล้วก็เริ่มลงมือแสดงได้เลย ควรเปิดโอกาสให้ ผู้แสดงได้ใช้ความสามารถของตนได้เต็มที่ ถ้าเกิดปัญหาขึ้นในขณะที่แสดง ผู้สอนควรมีส่วนร่วมในการแก้ไขสถานการณ์
เพื่อให้การแสดงเป็นไปตามธรรมชาติและราบรื่นต่อไป
2.7 การตัดบท ถ้าบังเอิญการแสดงของผู้เรียนยืดเยื้อและใช้เวลานานเกินความจำเป็นและผู้สอนที่ความคิดเห็นว่าได้ข้อมูลในการแสดงพอสมควรแล้ว ก็สามารถขอให้ยุติการแสดง
เพื่อจะได้นำข้อมูลมาวิเคราะห์และอภิปรายและแก้ไขปัญหาต่างๆ ต่อไป
3. ขั้นวิเคราะห์และอภิปรายผล การนำข้อมูลที่ได้จากการแสดงมาวิเคราะห์และอภิปราย ผู้สอนและผู้เรียนต้องร่วมมือกัน
แต่ควรอภิปรายในรูปแบบของความมีเหตุมีผลเฉพาะการแสดงออกของผู้แสดงทางพฤติกรรมเท่านั้น
แต่จะไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับตัวผู้แสดง
4. ขั้นแลกเปลี่ยนประสบการณ์และสรุป เมื่อได้วิเคราะห์และอภิปรายผลของการแสดงแล้ว
ผู้สอนจะเป็นผู้เร้าและจูงใจให้ผู้เรียนได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ต่างๆ เพื่อให้มีแนวคิดกว้างขวางขึ้น
โดยให้ข้อคิดว่าสิ่งที่ได้เรียนรู้หรือประสบพบเห็นนั้นๆ จะเกี่ยวข้องกับความเป็น จริงทั้งสิ้น แล้วให้ผู้เรียนช่วยกันให้แนวมโนทัศน์และช่วยกันสรุปประเด็นให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของการแสดงบทบาทสมมติที่กำหนดไว้
บุญชม ศรีสะอาด
(2541, หน้า 62 อ้างอิงใน กรมวิชาการ, 2543ข,
หน้า 20)
ได้เสนอแนะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการสอนโดยการแสดงบทบาทสมมติ ไว้ดังนี้
1.
ผู้สอนควรชี้แจงจุดประสงค์ของการแสดงบทบาทสมมติ
และสิ่งที่ต้องการให้ผู้สังเกตศึกษาจากการแสดงบทบาทสมมตินั้น
2. ผู้สอนต้องเตรียมสถานการณ์
และมีคำอธิบายสถานการณ์ให้ชัดเจนสำหรับผู้ที่จะแสดงบทบาทแต่ละคน ซึ่งจะต้องจดจำสถานการณ์ที่ตนจะต้องแสดงบทบาทไว้ให้แม่นยำ มีความเข้าใจในบทบาทของตนอย่างรู้แจ้ง
สถานการณ์และบทบาทที่กำหนดมักพิมพ์ลงในแผ่นกระดาษเพื่อมอบให้ผู้แสดงได้ศึกษา
3. ควรให้เวลาในช่วงสั้นๆ
สำหรับผู้ที่จะแสดงบทบาทสมมติได้ประมวลความคิดซักซ้อมและ เตรียมการ
4. ในการแสดงบทบาทสมมติ
จะต้องมีบรรยากาศที่เสรีและความรู้สึกปลอดภัย
5. อาจมีการปรับปรุงและแสดงกิจกรรมบางตอนใหม่
6.หลังจากการแสดงบทบาทสมมติควรมีการอภิปรายถึงพฤติกรรมที่แสดงและประเมินผลการปฏิบัติของผู้เรียน โดยใช้คำถามต่อไปนี้
6.1 แต่ละคนแสดงบทบาทได้สมจริงเพียงใด
6.2 มีความแตกต่างของบทบาทที่แสดงในทางใด
6.3
การแสดงบทบาทเปลี่ยนแปลงแนวคิดของท่านเกี่ยวกับตัวละครที่แสดงอย่างไร
6.4 อะไรคือจุดประสงค์ของการแสดงบทบาทสำหรับบทเรียนนี้
การจัดการเรียนรู้แบบนิรนัย (Deductive
Method)
แนวคิด
กระบวนการที่ผู้สอนจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนมีความเข้าใจเกี่ยวกับกฎ ทฤษฎี
หลักเกณฑ์ ข้อเท็จจริงหรือข้อสรุปตามวัตถุประสงค์ในบทเรียน จากนั้นจึงให้ตัวอย่างหลายๆตัวอย่าง
หรืออาจให้ผู้เรียนฝึกการนำทฤษฎี หลักการ หลักเกณฑ์
กฎหรือข้อสรุปไปใช้ในสถานการณ์ที่หลากหลาย
หรืออาจเป็นหลักลักษณะให้ผู้เรียนหาหลักฐานเหตุผลมาพิสูจน์ยืนยันทฤษฎี
กฎหรือข้อสรุปเหล่านั้น การจัดการเรียนรู้แบบนี้จะช่วยให้ผู้เรียนเป็นคนมีเหตุผล
ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ และมีความเข้าใจในกฎเกณฑ์ ทฤษฎี ข้อสรุปเหล่านั้นอย่างลึกซึ้ง
การสอนแบบนี้อาจกล่าวได้ว่า
เป็นการสอนจากทฤษฎีหรือกฎไปสูตัวอย่างที่เป็นรายละเอียด การจัดกิจกรรมการเรียนรู้
การสอนแบบนิรนัยมีขั้นตอนสำคัญดังต่อไปนี้
1. ขั้นกำหนดขอบเขตของปัญหา
เป็นการนำเข้าสูบทเรียนโดยการเสนอปัญหาหรือระบุสิ่งที่ จะสอนในแง่ของปัญหา
เพื่อยั่วยุให้ผู้เรียนเกิดความสนใจที่จะหาคำตอบ
ปัญหาที่จะนำเสนอควรจะเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ของชีวิตและเหมาะสมกับวุฒิภาวะของผู้เรียน
2. ขั้นแสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ เป็นการนำเอาทฤษฎี หลักการ กฎ
ข้อสรุปที่ต้องการสอนมาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ทฤษฎี หลักการนั้น
3. ขั้นใช้ทฤษฎี หลักการ เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะเลือกทฤษฎี หลักการ กฎ
ข้อสรุป ที่ได้จากการเรียนรู้มาใช้ในการแก้ปัญหาที่กำหนดไว้ได้
4. ขั้นตรวจสอบและสรุป เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะตรวจสอบและสรุปทฤษฎี
หลักการ กฎ ข้อสรุปหรือนิยามที่ใช้ว่าถูกต้อง สมเหตุสมผลหรือไม่
โดยอาจปรึกษาผู้สอน หรือค้นคว้าจากตำราต่างๆ หรือจากการทดลอง
ข้อสรุปที่ได้พิสูจน์หรือตรวจสอบว่าเป็นจริง จึงจะเป็นความรู้ที่ถูกต้อง
5. ขั้นฝึกปฏิบัติ เมื่อผู้เรียนเกิดความเข้าใจในทฤษฎี หลักการ กฎ
ข้อสรุป พอสมควรแล้ว
ผู้สอนเสนอสถานการณ์ใหม่ให้ผู้เรียนฝึกนำความรู้มาประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ใหม่ๆที่หลากหลาย
ประโยชน์
1. เป็นวิธีการที่ช่วยในการถ่ายทอดเนื้อหาสาระได้ง่าย
รวดเร็วและไม่ยุ่งยาก
2. ใช้เวลาในการจัดการเรียนรู้ไม่มากนัก
3. ฝึกให้ผู้เรียนรู้ได้นำเอาทฤษฎี หลักการ กฎ
ข้อสรุปหรือนิยามไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ๆ
4. ใช้ได้ผลดีในการจัดการเรียนรู้วิชาศิลปศึกษาและคณิตศาสตร์
5. ฝึกให้ผู้เรียนมีเหตุผล ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ
โดยไม่มีการพิสูจน์ให้เห็นจริง
เทคนิคการสอนแบบอุปนัย และนิรนัย
1. เทคนิคการสอนแบบอุปนัย ( Inductive Method )
ความหมาย
วิธีสอนแบบอุปนัย เป็นการสอนจากรายละเอียดปลีกย่อยไปหา กฎเกณฑ์ กล่าวคือ
เป็นการสอนแบบย่อยไปหาส่วนรวมหรือสอนจากตัวอย่างไปหากฎเกณฑ์ หลักการ ข้อเท็จจริง
หรือข้อสรุป โดยการให้นักเรียนทำการศึกษา สังเกต ทดลอง เปรียบเทียบ
แล้วพิจารณาค้นหาองค์ประกอบที่เหมือนกันหรือคล้ายคลึงกันจากตัวอย่างต่าง ๆ
เพื่อนำมาเป็น ข้อสรุป
ความมุ่งหมายและวิธีสอนแบบอุปนัย เพื่อช่วยให้นักเรียนได้ค้นพบกฎเกณฑ์
หรือความจริงที่สำคัญ ๆ ด้วยตนเองกับให้เข้าใจความหมายและความสัมพันธ์ของความคิด
ต่าง ๆ อย่างแจ่มแจ้ง
ตลอดจนกระตุ้นให้นักเรียนรู้จักการทำการสอบสวนค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง
ขั้นตอนในการสอนแบบอุปนัย
1. ขั้นเตรียม คือ การเตรียมตัวนักเรียน
เป็นการทบทวนความรู้เดิม กำหนด จุดมุ่งหมาย และอธิบายความมุ่งหมายให้นักเรียนได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
2. ขั้นสอนหรือขั้นแสดง คือ
การเสนอตัวอย่างหรือกรณีต่าง ๆ ให้นักเรียนได้ พิจารณา
เพื่อให้นักเรียนสามารถเปรียบเทียบ สรุปกฎเกณฑ์ได้ การเสนอตัวอย่าง ควรเสนอ หลายๆ
ตัวอย่างให้มากพอที่จะสรุปกฎเกณฑ์ได้ ไม่ควรเสนอเพียงตัวอย่างเดียว
3. ขั้นเปรียบเทียบและรวบรวม เป็นขั้นหาองค์ประกอบรวม
คือ การที่นักเรียน
ได้มีโอกาสพิจารณาความคล้ายคลึงกันขององค์ประกอบในตัวอย่างเพื่อเตรียมสรุปกฎเกณฑ์ไม่ควร
รีบร้อนหรือเร่งเร้าเด็กเกินไป
4. ขั้นสรุป คือ การนำข้อสังเกตต่าง ๆ
จากตัวอย่างมาสรุปเป็นกฎเกณฑ์ นินาม หลักการ หรือสูตร ด้วยตัวนักเรียนเอง
5. ขั้นนำไปใช้ คือ
ขั้นทดลองความเข้าใจของนักเรียนเกี่ยวกับกฎเกณฑ์หรือ
ข้อสรุปที่ได้มาแล้วว่าสามารถที่จะนำไปใช้ในปัญหาหรือแบบฝึกหัดอื่น ๆ ได้หรือไม่
ข้อดีและข้อจำกัด
ข้อดี
1. จะทำให้นักเรียนเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้งและจำได้นาน
2. ฝึกให้นักเรียนรู้จักคิดตามหลักตรรกศาสตร์
และหลักวิทยาศาสตร์
3. ให้นักเรียนเข้าใจวิธีการในการแก้ปัญหา
และรู้จักวิธีทำงานที่ถูกต้องตามหลัก จิตวิทยา
ข้อจำกัด
1. ไม่เหมาะสมที่จะใช้สอนวิชาที่มีคุณค่าทางสุนทรียะ
2. ใช้เวลามาก อาจทำให้เด็กเกิดความเบื่อหน่าย
3. ทำให้บรรยากาศการเรียนเป็นทางการเกินไป
4. ครูต้องเข้าใจในเทคนิควิธีสอนแบบนี้อย่างดี
จึงจะได้ผลสัมฤทธิ์ในการสอน
2. เทคนิคการสอนแบบนิรนัย ( Deductive Method )
ความหมาย
วิธีสอนแบบนี้ เป็นการสอนที่เริ่มจากฎ หรือ หลักการต่าง ๆ แล้วให้นักเรียนหาหลักฐานเหตุผลมาพิสูจน์ยืนยัน
วิธีการสอนแบบนี้ฝึกหัดให้นักเรียนเป็นคนมี เหตุมีผล ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ
จนกว่าจะพิสูจน์ให้เห็นจริงเสียก่อน
ความมุ่งหมายของวิธีการสอนแบบนิรนัย ให้นักเรียนรู้จักใช้กฎ สูตร และ
หลักเกณฑ์ต่าง ๆ มาช่วยในการแก้ปัญหา ไม่ตัดสินใจในการทำงานอย่างง่าย ๆ
จนกว่าจะพิสูจน์ ให้ทราบข้อเท็จจริงเสียก่อน
ขั้นตอนในการสอนแบบนิรนัย
1. ขั้นอธิบายปัญหา ระบุสิ่งที่จะสอนในแง่ของปัญหา
เพื่อยั่วยุให้นักเรียนเกิด ความสนใจที่จะหาคำตอบ ( เช่น
เราจะหาพื้นที่ของวงกลมอย่างไร ) ปัญหาจะต้องเกี่ยวข้อกับ สถานการณ์จริงของชีวิต
และเหมาะสมกับวุฒิภาวะของเด็ก
2. ขั้นอธิบายข้อสรุป ได้แก่
การนำเอาข้อสรุปกฎหรือนิยามมากกว่า 1 อย่างมา อธิบาย
เพื่อให้นักเรียนได้เลือกใช้ในการแก้ปัญหา
3. ขั้นตกลงใจ เป็นขั้นที่นักเรียนจะเลือกข้อสรุป
กฎหรือนิยาม ที่จะนำมาใช้ใน การแก้ปัญหา
4. ขั้นพิสูจน์ หรืออาจเรียกว่าขั้นตรวจสอบ
เป็นขั้นที่สรุปกฎ หรือ นิยามว่าเป็น ความจริงหรือไม่ โดยการปรึกษาครู
ค้นคว้าจากตำราต่าง ๆ และจากการทดลองข้อสรุปที่ได้
พิสูจน์ว่าเป็นความจริงจึงจะเป็นความรู้ที่ถูกต้อง
ข้อดีและข้อจำกัด
ข้อดี
1. วิธีสอนแบบนี้เหมาะสมที่จะใช้สอนเนื้อหาวิชาง่าย ๆ
หรือหลักเกณฑ์ต่าง ๆ จะสามารถอธิบายให้นักเรียนเข้าใจความหมายได้ดี
และเป็นวิธีสอนที่ง่ายกว่าสอนแบบอุปนัย
2. ฝึกให้เป็นคนมีเหตุผล ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ
โดยไม่มีการพิสูจน์ให้เห็นจริง
ข้อจำกัด
1. วิธีสอนแบบนิรนัยที่จะใช้สอนได้เฉพาะบางเนื้อหา
ไม่ส่งเสริมคุณค่าในการ แสวงหาความรู้และคุณค่าทางอารมณ์
2. เป็นการสอนที่นักเรียนไม่ได้เกิดความคิดรวบยอดด้วยตนเอง
เพราะครู กำหนดความคิดรวบยอดให้
2. กลุ่มปัญญานิยม
รูปแบบการเรียนการสอนความคิดรวบยอด
จอยส์และวีล (Joyce & Weil, 1996, p. 164) ได้นำแนวคิดของบรูเนอร์,
กูดนาว, และออสติน (Bruner, Goodnow,
& Austin) ซึ่งอธิบายความหมายของการรับรู้ความคิดรวบยอด (concept
attainment) คือการค้นหาคุณสมบัติเฉพาะสำคัญเพื่อใช้ในการแยกแยะตัวอย่างที่เป็นความคิดรวบยอด
ออกจากตัวอย่างที่ไม่ใช่ความคิดรวบยอดนั้นออกเป็นประเภทต่าง ๆ
มาสร้างเป็นรูปแบบการสอนความคิด รวบยอด
การพัฒนาความคิดรวบยอดเป็นกระบวนการที่มนุษย์จัดหมวดหมู่สิ่งของหรือความคิดต่าง
ๆ ที่ มีลักษณะเฉพาะที่สำคัญเหมือนกันให้อยู่เป็นกลุ่ม/พวกเดียวกัน ด้วยกระบวนการอุปนัย
(inductive process) โดยผ่านการสังเกต
เปรียบเทียบตัวอย่างที่เป็นตัวแทนของความคิดรวบยอดกับตัวอย่างที่ไม่ใช่
ความคิดรวบยอดจนกระทั่งผู้เรียนสามารถดึงเอาลักษณะสำคัญที่เป็นลักษณะร่วมของความคิดรวบยอด
นั้นออกมาได้และนำมาสร้างเป็นนิยามของความคิดรวบยอดนั้น
กระบวนการสร้างความคิดรวบยอด
ทำให้มนุษย์รู้จักและจดจำสิ่งต่าง ๆ
ในโลกที่มีอยู่มากมายได้ง่ายขึ้นและเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ตรงกัน ทำให้
สื่อสารกันอย่างเข้าใจกระบวนการนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน
ดังนั้นการเรียนรู้สาระของรายวิชาต่างๆก็คือการเรียนรู้ความคิดรวบยอดของสาระวิชาซึ่งเป็นพื้นฐาน
นำมาใช้ในการสร้างกฎ หลักการและแนวคิดในสาระวิชาที่ซับซ้อนมากขึ้น
การเรียนรู้ความคิดรวบยอด จึงเป็นพื้นฐานของการพัฒนาการคิดในระดับสูง
1. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ ความเข้าใจความคิดรวบยอด บอกลักษณะสำคัญของความคิดรวบยอดได้ ให้นิยามความคิดรวบยอดด้วยคำพูดของตนเอง สามารถ วิเคราะห์ได้ว่าตัวอย่างใดเป็นตัวแทนของความคิดรวบยอดและตัวอย่างใดไม่ใช่ความคิดรวบยอด
เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ ความเข้าใจความคิดรวบยอด บอกลักษณะสำคัญของความคิดรวบยอดได้ ให้นิยามความคิดรวบยอดด้วยคำพูดของตนเอง สามารถ วิเคราะห์ได้ว่าตัวอย่างใดเป็นตัวแทนของความคิดรวบยอดและตัวอย่างใดไม่ใช่ความคิดรวบยอด
2. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
ทฤษฎีการเรียนรู้และแนวคิดสำคัญที่เป็นพื้นฐาน ของรูปแบบการเรียนการสอนความคิดรวบยอด ได้แก่
ทฤษฎีการเรียนรู้และแนวคิดสำคัญที่เป็นพื้นฐาน ของรูปแบบการเรียนการสอนความคิดรวบยอด ได้แก่
2.1
การสร้างความรู้เป็นกระบวนการทางปัญญา (cognitive constructivism) เพียเจต์อธิบายการสร้างความคิดรวบยอดว่ามาจากกระบวนการปรับโครงสร้างทางปัญญาเมื่อมนุษย์มี
ปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมซึ่งทำให้เกิดภาวะไม่สมดุล (disequilibrium) หรือเกิดความสงสัย การแก้ ภาวะไม่สมดุลให้อยู่ในภาวะสมดุล (equilibrium)
นั้นมนุษย์ได้ใช้กระบวนการทางการคิด 2 กระบวนการ
คือกระบวนการรับเข้าสู่โครงสร้างทางปัญญาเดิม (assimilation) และกระบวนการปรับ โครงสร้างทางปัญญาเดิมเข้าสู่โครงสร้างทางปัญญาใหม่ (accommodation)
ทั้งสองกระบวนการนี้ทำ
ให้มนุษย์สามารถขยายความคิดรวบยอดเดิมให้กว้างขึ้นและสร้างความคิดรวบยอดใหม่
โดยใช้วิธีการสังเกต
เปรียบเทียบ สรุปลักษณะส าคัญ
เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการจัดสิ่งของหรือความคิดต่าง ๆ เข้ากลุ่ม เข้าพวก
ดังนั้นการสร้างความคิดรวบยอดจึงเป็นกระบวนการปรับโครงสร้างทางปัญญา
2.2
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา (cognitive development theory) ของเพียเจต์ และบรูเนอร์ เป็นพื้นฐานในการก
าหนดวิธีการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับวัยของผู้เรียน เพียเจต์ได้แบ่ง
พัฒนาการทางสติปัญญาของบุคคลเป็น 4 ช่วงวัย ช่วงอายุ 0-2 ปี เป็นช่วงที่บุคคลรับรู้ผ่านการสัมผัส ช่วงที่ 2
ระหว่างอายุ 2–7 ปี
เป็นช่วงที่บุคคลเรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติและเลียนแบบ ช่วงที่ 3 ระหว่าง อายุ 7-11
ปีเป็นช่วงวัยที่บุคคลเรียนรู้ผ่านการคิดอย่างเป็นรูปธรรมและเริ่มใช้การคิดอย่างมีเหตุผล
และ ช่วงที่ 4 ตั้งแต่อายุ 11 ปีขึ้นไป
เป็นช่วงที่บุคคลพัฒนาการคิดเชิงนามธรรมผ่านสัญลักษณ์ต่าง ๆ อย่างมี เหตุผล
สอดคล้องกับบรูเนอร์ที่อธิบายการเรียนรู้ว่าผ่านวิธีการ 3
ทาง คือ 1) การเรียนรู้ผ่านการลงมือ กระทำ (enactive
mode) 2) การเรียนรู้ผ่านการสร้างภาพในสมอง (iconic mode) และ 3) การเรียนรู้ ผ่านการใช้สัญลักษณ์ (symbolic
mode) ซึ่งในวัยเด็กจะใช้วิธีการแรก เมื่อผู้เรียนอยู่ในวัย 7 ปี ยังคงใช้ การเรียนด้วยการลงมือกระทำในการเรียนรู้ความคิดรวบยอด
และในช่วงวัย 7-11 ปี จะใช้วิธีที่สองร่วมด้วย
เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นและเป็นผู้ใหญ่จะเรียนรู้ผ่านการสร้างภาพและเรียนรู้ผ่านสัญลักษณ์มากขึ้น
ดังนั้น การเรียนรู้ความคิดรวบยอดจึงขึ้นกับระดับพัฒนาการทางสติปัญญาและวิธีการเรียนรู้ในแต่ละช่วงของ
พัฒนาการ
2.3 บทบาทของครูในการพัฒนาความคิดรวบยอดของผู้เรียน
คือการสร้างสิ่งแวดล้อมให้ พร้อมสำหรับการเรียนรู้ความคิดรวบยอด
ด้วยการจัดหาตัวอย่างต่าง ๆ ทั้งที่เป็นตัวแทนของความคิด
รวบยอดและตัวอย่างที่ไม่ใช่ตัวแทนของความคิดรวบยอดที่ต้องการสอนเพื่อท้าทายให้ผู้เรียนได้ใช้
กระบวนการคิดในการจำแนกแยกแยะและหาข้อสรุปของความคิดรวบยอดที่เรียน
นอกจากนั้นครูยังมี
หน้าที่ให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อชี้แนะผู้เรียนในการสร้างความคิดรวบยอดให้มีความถูกต้อง
3. ขั้นตอนการเรียนการสอน การสอนความคิดรวบยอดมีขั้นตอนที่สำคัญดังนี้
ขั้นที่ 1
การเตรียมตัวของผู้สอน เพื่อจัดหาข้อมูล 2 ชุด
ชุดหนึ่งเป็นตัวอย่างของ
ความคิดรวบยอดที่จะใช้สอนและอีกชุดหนึ่งไม่ใช่ตัวอย่างของความคิดรวบยอดที่จะสอน
ขั้นที่ 2
นำเสนอข้อมูลที่เป็นตัวอย่างของความคิดรวบยอดและที่ไม่ใช่ความคิดรวบยอด
ที่ต้องการสอนแก่ผู้เรียน
ให้ผู้เรียนเปรียบเทียบและค้นหาลักษณะสำคัญที่แฝงอยู่ในตัวอย่างที่เป็น
ความคิดรวบยอดที่ต้องการ
ขั้นที่ 3 พัฒนาคำจำกัดความของความคิดรวบยอด
ขั้นที่ 4
ให้ตัวอย่างเพิ่มเติม เพื่อทดสอบว่าผู้เรียนเข้าใจความคิดรวบยอดถูกต้องหรือไม่
โดยครูอาจเป็นผู้เสนอหรือผู้เรียนเป็นผู้เสนอก็ได้
ขั้นที่ 5
อภิปรายกระบวนการในการสร้างนิยามความคิดรวบยอดและกระบวนการคิด ของผู้เรียน
ตัวอย่างการสอนความคิดรวบยอดเรื่องรูปสี่เหลี่ยมมุมฉากใด ๆ
ขั้นที่ 1 ครูเตรียมข้อมูล 2 ชุด ชุดแรก คือ ตัวอย่างที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมมุมฉากที่มีแบบ
และขนาดต่างๆกันเช่นสี่เหลี่ยมผืนผ้า สี่เหลี่ยมจัตุรัส เป็นต้น
และข้อมูลอีกชุดหนึ่งคือตัวอย่างที่ไม่ใช่ เช่น รูปสามเหลี่ยม
รูปสี่เหลี่ยมด้านไม่เท่า รูปวงกลม เป็นต้น
ขั้นที่ 2
ครูนำเสนอตัวอย่างที่ใช่และไม่ใช่เป็นคู่ ๆ โดยเริ่มจากตัวอย่างที่ใช่ก่อน ให้
นักเรียนสังเกตและบอกลักษณะสำคัญของตัวอย่างที่ใช่เปรียบเทียบกับตัวอย่างที่ไม่ใช่
ซึ่งในช่วงแรก อาจยังไม่ถูกต้องนัก ทำไปสัก 2-3 ครั้ง
ผู้เรียนจะเริ่มเห็นลักษณะสำคัญของรูปสี่เหลี่ยมจากตัวอย่างที่ เป็นตัวแทน
ซึ่งตรงข้ามหรือไม่มีในตัวอย่างที่ไม่ใช่ตัวแทนความคิดรวบยอด
อาจมีตัวอย่างบางรูปที่ทำ ให้ผู้เรียนสับสน เช่น รูปสี่เหลี่ยมด้านไม่เท่ามีด้าน 4 ด้าน เหมือนกัน แต่รูปสี่เหลี่ยมด้านไม่เท่ามีด้านยาว
ไม่เท่ากันเลยแม้แต่ด้านเดียวซึ่งตางจากรปูสเหลี่ยมผืนผ้าและสี่เหลี่ยมจัตุรัสเป็นต้น
ในขั้นที่ 2 นี้ ผู้เรียน
จะใช้เวลาสำหรับการรวบรวมและเปรียบเทียบลักษณะของตัวอย่างที่ใช่และไม่ใช่รูปสี่เหลี่ยมมุมฉากจน
ในที่สุดสามารถสรุปลักษณะเฉพาะที่สำคัญของรูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก
ขั้นที่ 3 ผู้เรียนลองให้นิยามหรือคำจำกัดความของรูปสี่เหลี่ยมมุมฉากจากลักษณะเฉพาะที่
สำคัญของตัวอย่างที่เป็นตัวแทนความคิดรวบยอด ขั้นนี้เป็นขั้นที่ยากและต้องใช้เวลา
ขั้นที่ 4
ตรวจสอบความเข้าใจของรูปสี่เหลี่ยมมุมฉากของนักเรียนจากตัวอย่างอื่น ๆ เพิ่มเติม
ขั้นที่ 5 ผู้เรียนร่วมกันอภิปรายว่า
กระบวนการสร้างความคิดรวบยอดนั้นเกิดขึ้นได้ อย่างไร มีจุดที่ทำให้เกิดความสับสน
ไขว้เขวหรือไม่อย่างไร สามารถแก้ไขความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องได้ อย่างไร
เป็นต้น
รูปแบบการเรียนการสอนบรรยายและอภิปราย (lecture-discussion
model)
การสอนแบบสืบสวนสอบสวน
การสอนแบบสืบสวนสอบสวน
หมายถึง การสอนที่มีระบบการจัดการเรียนรู้
โดยครูผู้สอนจะทำหน้าที่สร้างสถานการณ์ที่น่าสนใจและท้าทาย
เพื่อทำให้เกิดแรงกระตุ้นต่อผู้เรียน
ผู้เรียนเห็นความสำคัญของปัญหาและเกิดการเรียนรู้ด้วยการสืบสวนสอบสวนจากข้อมูลที่มีอยู่
เพื่อให้ได้พบคำตอบ เป็นการเรียนรู้ที่เกิดจากการสังเกต อธิบาย พยากรณ์ และนำไปใช้
เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาด้วยตนเองและสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับกิจกรรมที่ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างหลากหลาย
ความมุ่งหมายของการสอบแบบสืบสวนสอบสวน
1. เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนสืบสวนสอบสวนความรู้หรือข้อเท็จจริงด้วยตนเอง
2. เพื่อฝึกให้นักเรียนรู้จักคิดหาเหตุผล
3. เพื่อฝึกให้นักเรียนรู้จักคิดเป็น ทำเป็น
แก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง
ขั้นตอนของวิธีการสอนแบบสืบสวนสอบสวน
ขั้นที่ 1 การสังเกต (Observation)
หลังจากกำหนดประเด็นปัญหา ให้นักเรียนสังเกตสภาพแวดล้อมที่ก่อให้เกิดปัญหา
พยายามนำความคิดรวบยอดเดิมมาแก้ปัญหาโดยคิดหาเหตุผล จัดลำดับความคิดในรูปแบบต่างๆ
ให้สอดคล้องสัมพันธ์กับสภาพการณ์อันเป็นปัญหานั้น
ขั้นที่ 2 การอธิบาย (Explanation)
นักเรียนจัดระบบความคิด ตั้งสมมุติฐานเพื่ออธิบายความคิดรูปแบบต่างๆ
ในการแก้ปัญหา ทบทวนความคิด และทำความเข้าใจปัญหานั้นๆให้ชัดเจน
ขั้นที่ 3 การทำนาย (Prediction)
เมื่ออธิบายความคิดรูปแบบต่างๆ
ในการแก้ปัญหาแล้วให้นักเรียนทำนายหรือพยากรณ์ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้อีกว่าเมื่อเกิดแล้วผลเป็นอย่างไรและแก้ไขอย่างไร
ขั้นที่ 4
การนำไปใช้และสร้างสรรค์ (Control and Creativity) นักเรียนสามารถนำเหตุผลและความเข้าใจในการแก้ปัญหาไปใช้ประโยชน์ให้กว้างไกลในชีวิตประจำวันได้
รวมทั้งมีความคิดสร้างสรรค์นำไปใช้ในสภาพการณ์อื่นๆ
บทบาทของครูในการสอนแบบสืบสวนสอบสวน
คาลลาฮาน และลีโอนาด (Callahan ;&
Leonard. 1988: 261-262) ได้กล่าวถึง
บทบาทของครูในการสอนแบบสืบสวนสอบสวน ซึ่งสรุปได้ ดังนี้
1. ครูมีหน้าที่ให้คำแนะนากับนักเรียนมากกว่าบอกให้นักเรียนทำตาม
2. ครูตั้งคำถามเลือกประเด็นที่น่าสนใจเพื่อกระตุ้นให้นักเรียนคิดและพยายามค้นหาคำตอบ
3. ในขณะที่นักเรียนค้นหาคำตอบ ครูควรแนะนำในการค้นพบ
โดยหาความชัดเจนของปัญหา
4. ครูพยายามสร้างบรรยากาศในชั้นเรียนที่เป็นการส่งเสริม
การสร้าง ข้อคาดเดาการตั้งข้อสงสัย และการคิดแก้ปัญหา
5. สนับสนุนให้นักเรียนตั้งสมมติฐาน
เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ตรวจสอบสมมิตฐานด้วยตนเอง
6. ช่วยนักเรียนในการวิเคราะห์และประเมินความคิดของตนเอง
โดยเปิดโอกาสให้มีการอภิปรายในชั้นเรียนพยายามกระตุ้นให้นักเรียนคิด
ไม่ข่มขู่เมื่อคำตอบไม่เป็นดังที่คาดหวัง
ข้อดีของการสอนแบบสืบสวนสอบสวน
1. ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง
จากการค้นพบคำตอบด้วยตนเอง
เป็นการส่งเสริมความกระตือรือร้นการเอาใจใส่และการรับผิดชอบในกิจกรรม
2. เกิดกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเองในการสืบสวนสอบสวน
และต้องมีการปรึกษาข้อมูลต่อผู้เรียนด้วยกันเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเกิดการเรียนรู้อย่างหลากหลายและได้แนวทางการพัฒนาระบบความคิดได้มากขึ้น
3. ความรู้ที่ได้มาจากประสบการณ์จริง จากการทำกิจกรรม
จะช่วยให้สามารถแก้ปัญหาจากเหตุการณ์จริงและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองได้
4. ผู้สอนจะพบว่าการเรียนการสอนแบบสืบสวนสอบสวน
จะดีกว่าที่ครูผู้สอนคอยบรรยายความรู้เพียงอย่างเดียว
เพราะจุดประสงค์การเรียนรู้ที่คาดหวังต้องการให้นักเรียนรู้จักการสืบค้นคว้าหาความรู้จากข้อมูล
เป็นการเรียนรู้และการตัดสินใจของผู้เรียนเอง
5. การเรียนการสอนแบบสืบสวนสอบสวน
เป็นการออกแบบกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จริง และปฎิบัติจริง
จนเกิดการเรียนรู้ในการตัดสินใจที่ดี
6. หลักสูตรจะมีชุดการเรียนที่เหมาะสมกับผู้เรียนและสามารถพัฒนาความคิดของผู้เรียนได้ตลอดเวลาและเกิดประสิทธิภาพมากกว่าเดิม
ข้อจำกัดของการสอนแบบสืบสวนสอบสวน
1. ข้อมูลที่มีอาจถูกจากัด
และอยู่ในเวลาที่ระบุตามกิจกรรม
2. ผู้เรียนไม่สนใจศึกษาและแสดงความคิดเห็นเพราะไม่เข้าใจบทบาทของตนเอง
3. ผู้สอนต้องมีความรับผิดชอบสูงและสร้างความพึงพอใจต่อผู้เรียน
4. เกิดการเปรียบเทียบระหว่างการสอนแบบบรรยายและการสอนแบบสืบสวนสอบสวน
ที่ต้องแสดงความคิดในเวลาจำกัด
5. ผู้เรียนประสบปัญหาในด้านแนวความคิดและการเรียนรู้คำตอบ
จากข้อมูล
ข้อสังเกตของวิธีสอนแบบสืบสวนสอบสวน
1. ครูมีบทบาทสำคัญในการสอนแบบสืบสวนสอบสวน
เนื่องจากครูต้องป้อนคำถามให้กับนักเรียนเพื่อนำไปสู่การคิดค้นคว้า
2. ครูต้องให้โอกาสนักเรียนทั้งห้องในการอภิปราย วางแผน
และกำหนดวิธีการแก้ปัญหาเอง
3. ปัญหาที่กำหนดเพื่อสืบสวนสอบสวนไม่ควรยากเกินความสามารถของนักเรียน
รูปแบบการเรียนการสอนตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์
1. คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
2. ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ (Constructivist
Theory) เป็นทฤษฎีที่ว่าด้วยการสร้างความรู้
ได้มีการเปลี่ยนจากเดิมที่เน้นการศึกษา ปัจจัยภายนอกมาเป็น สิ่งเร้าภายใน
ซึ่งได้แก่ ความรู้ความเข้าใจ หรือ กระบวนการรู้คิด กระบวนการคิด(Cognitive
processes) ที่ช่วยส่งเสริมการ เรียนรู้ จากผลการศึกษาพบว่า
ปัจจัยภายในมีส่วนช่วยทาให้เกิดการเรียนรู้อย่างมี ความหมาย
และความรู้เดิมมีส่วนเกี่ยวข้องและเสริมสร้างความเข้าใจของผู้เรียน
3. จากการศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับคอนสตรัคติวิสซึมสรุปเป็นสาระสาคัญ
ได้ดังนี้ 1. ความรู้ของบุคคลใด คือ
โครงสร้างทางปัญญาของบุคคลนั้นที่สร้างขึ้นจาก
ประสบการณ์ในการคลี่คลายสถานการณ์ที่เป็นปัญหาและสามารถนาไปใช้เป็น
ฐานในการแก้ปัญหาหรืออธิบายสถานการณ์อื่น ๆได้ 2. นักเรียนเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยวิธีการที่ต่าง
ๆ กัน โดยอาศัยประสบการณ์ และโครงสร้างทางปัญญาที่มีอยู่เดิม
ความสนใจและแรงจูงใจภายในตนเองเป็น จุดเริ่มต้น 3. ครูมีหน้าที่จัดการให้นักเรียนได้ปรับขยายโครงสร้างทางปัญญาของนักเรียน
เอง
4. จากแนวคิดข้างต้นนี้กระบวนการเรียนการสอนในแนวคอนสตรัคติวิสซึม
จึงมักเป็นไปในแบบที่ให้นักเรียนสร้างความรู้จากการช่วยกันแก้ปัญหา (Cooperative
problem solving) กระบวนการเรียนการสอนจะเริ่มต้นด้วยปัญหา
ที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางปัญญา (Cognitive conflict) นั่นคือประสบการณ์
และโครงสร้างทางปัญญาที่มีอยู่เดิม ไม่สามารถจัดการแก้ปัญหานั้นได้ลงตัว
พอดีเหมือนปัญหาที่เคยแก้มาแล้ว ต้องมีการคิดค้นเพิ่มเติมที่เรียกว่า “การปรับ โครงสร้าง” หรือ “การสร้างโครงสร้างใหม่”
ทางปัญญา (Cognitive restructuring) โดยการจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้ถกเถียงปัญหา
ซักค้านจนกระทั่ง หาเหตุผล
5. แนวคิดพื้นฐานของทฤษฎีคอนสตรัคติวิซึม 1.
Cognitive Constructivism มีพื้นฐานมาจากแนวคิดของ Piaget แนวคิด ของทฤษฎีนี้ เน้นผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้
โดยเป็นผู้สร้างความรู้ โดยการลงมือ กระทา Piaget เชื่อว่าถ้าผู้เรียนถูกกระตุ้นด้วยปัญหาที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งทาง
ปัญญา (Cognitive conflict) หรือเรียกว่าเกิดการเสียสมดุลย์ทางปัญญา(Disequilibrium)ผู้เรียนต้องพยายามปรับโครงสร้างทางปัญญา (Cognitive
structuring)ให้เข้าสู่ภาวะสมดุลย์(Equilibrium) โดยวิธีการดูดซึม (Assimilation) ได้แก่
การรับข้อมูลใหม่จากสิ่งแวดล้อมเข้าไปไว้ในโครงสร้างทางปัญญาและการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางปัญญา(Accomodation)
คือ การเชื่อมโยง โครงสร้างทางปัญญาเดิม
หรือความรู้เดิมที่มีมาก่อนกับข้อมูลข่าวสารใหม่
จนกระทั่งผู้เรียนสามารถปรับโครงสร้างทางปัญญาเข้าสู่สภาพสมดุลย์ หรือ
สามารถที่จะสร้างความรู้ใหม่ขึ้นมาได้ หรือเกิดการเรียนรู้นั่นเอง
6. Social Constructivism เป็นทฤษฎีที่มีรากฐานมาจาก Vygotsky
ซึ่งมี แนวคิดที่สาคัญที่ว่า "ปฏิสัมพัธ์ทางสังคม
มีบทบาทสาคัญในการพัฒนาด้าน
พุทธิปัญญา"รวมทั้งแนวคิดเกี่ยวกับศักยภาพในการพัฒนาด้านพุทธิปัญญาที่อาจ
มีข้อจากัดเกี่ยวกับช่วงของการพัฒนาที่รียกว่า Zone of Proximal
Development ถ้าผู้เรียนอยู่ต่ากว่า Zone of Proximal
Development จาเป็นที่จะต้องได้รับการ ช่วยเหลือในการเรียนรู้
ที่เรียกว่า Scaffolding และVygotskyเชื่อว่าผู้เรียนสร้าง
ความรู้โดยผ่านทางการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับผู้อื่น ได้แก่ เด็ก กับ ผู้ใหญ่ พ่อ
แม่ ครูและเพื่อน ในขณะที่เด็กอยู่ในบริบทของสังคมและวัฒนธรรม (Sociocultural
context )
7. สิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ตามแนวคอนสตรัคติวิซึม -
ผู้เรียนลงมือกระทาด้วยตนเอง (Learning are active) - การเรียนรู้ควรสนับสนุนการร่วมมือกันไม่ใช่การแข่งขัน
(Learning should support collaboration , not competition) - ให้ความสาคัญกับการควบคุมตนเองตามระดับของผู้เรียน (Focuses
control at the leaner level) - นำเสนอประสบการณ์การเรียนรู้ที่ตรงกับสภาพที่เป็นจริงหรือ
ประสบการณ์การเรียนรู้ในชีวิตจริง (Provides authentic,real-world learning
experiences)
8. การออกแบบการสอนตามแนวทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์
หลักการสาคัญมีอยู่ 5 ข้อ 1. Problem Base สถานการณ์ปัญหา 2. Data-bank แหล่งข้อมูล 3.
Scaffolding ฐานความช่วยเหลือ 4. Coaching ผู้ฝึกสอน
5. Collaboration การร่วมมือกันในการแก้ปัญหา
9. การออกแบบการสอนตามแนวทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์
ข้อตกลงเบื้องต้นของการออกแบบการสอนที่มีพื้นฐานจากทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึม (Constructivism)
ได้ให้ข้อตกลงไว้ดังนี้ 1. การสร้างการเรียนรู้
(Learning Constructed) ความรู้จะถูกสร้างจากการ
เรียนรู้เป็นกระบวนการสร้าง สิ่งขึ้นแทนความรู้(Representation)ในสมองที่ผู้เรียน เป็นผู้สร้างขึ้น 2. การแปลความหมายของแต่ละคน
(Interpretation personal) การเรียนรู้เป็น
การแปลความหมายตามสภาพจริง (Real world) ของแต่ละคน"
การเรียนรู้เป็นผลจากการแปลความหมายตามประสบการณ์ของแต่ละคน3.การเรียนรู้เกิดจาการลงมือกระทำ (Learning active) การเรียนรู้เป็นการที่
ผู้เรียนได้ลงมือกระทาซึ่งเป็นการสร้าง ความหมายที่พัฒนาโดยอาศัยพื้นฐานของ
ประสบการณ์
10. การเรียนรู้ที่เกิดจากการร่วมมือ (Learning
Collaborative) การพัฒนา ความคิดรวบยอดของตนเอง
ได้มาจากการร่วมแบ่งปัน แนวคิดที่หลากหลายในกลุ่ม
และในขณะเดียวกันก็ปรับเปลี่ยนการสร้างสิ่งที่แทนความรู้ในสมองที่สนองตอบต่อ
แนวคิดที่หลากหลายนั้น หรืออาจกล่าวได้ว่า ในขณะที่มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้โดย
การอภิปรายเสนอความคิดเห็นที่หลากหลายของแต่ละคน ผู้เรียนจะมีการ
ปรับเปลี่ยนโครงสร้างความรู้ของตนด้วยและสร้างความหมายของตนเองขึ้นมาใหม่5.การเรียนรู้ที่เหมาะสม (Learning Situated)ควรเกิดขึ้นในสภาพชั้นเรียนจริง6.การทดสอบเชิงการบูรณาการ(Testing Integrated) การทดสอบควรจะเป็น การบูรณาการเข้ากับภารกิจการเรียน (Task) ไม่ควรเป็นกิจกรรมที่แยกออกจาก บริบท การเรียนรู้
11. หลักการจัดการเรียนการสอน แบบ Brain Based
Learning Brain Based Learning คือการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับพัฒนาการของ
สมองแต่ละช่วงวัย เป็นการนาองค์ความรู้เรื่องสมองมาใช้เป็นฐานในการ
ออกแบบกระบวนการเรียนรู้ การนาทฤษฏีพหุปัญามาใช้กับการเรียนการสอนแบบ Brain
Based Learning ศาสตราจารย์โฮวาร์ด การ์ดเนอร์ (Howard
Gardner) นักจิตวิทยามหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ได้เสนอแนวคิดว่า
ในปัจจุบันมีปัญญาอยู่ อย่างน้อย 8 ด้าน ดังนี้
12.ปัญญาด้านภาษา (Linguistic Intelligence) 2.ปัญญาด้านตรรกศาสตร์และคณิตศาสตร์ (Logical-Mathematical
Intelligence) 3.ปัญญาด้านมิติสัมพันธ์ (Visual-Spatial
Intelligence) 4. ปัญญาด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว (Bodily
Kinesthetic Intelligence) 5. ปัญญาด้านดนตรี (Musical
Intelligence) 6. ปัญญาด้านมนุษยสัมพันธ์ (Interpersonal
Intelligence) 7. ปัญญาด้านการเข้าใจตนเอง (Intrapersonal
Intelligence) 8. ปัญญาด้านธรรมชาติวิทยา (Naturalist
Intelligence)
13. หลักการจัดการเรียนการสอน แบบ Brain Based
Learning Regate และ Geoffrey Caine นักวิจัยเกี่ยวกับการเรียนรู้โดยใช้ความรู้
เกี่ยวกับสมองเป็นหลัก ได้เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอน 12 ข้อ ดังต่อไปนี้ 1)สมองเป็นกระบวนการคู่ขนาน 2)สมองกับการเรียนรู้ 3)การเรียนรู้มีมาแต่กาเนิด 4)รูปแบบการเรียนรู้ของบุคคล 5) ความสนใจมีความสาคัญต่อการเรียนรู้
6)สมองมีหน้าที่สร้างกระบวนการเรียนรู้
14.การเรียนรู้ในสิ่งที่สนใจสามารถรับรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
8)การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ทั้งแบบที่มีจุดมุ่งหมายและไม่ได้ตั้งใจ
9)การเรียนรู้ที่เกิดจากกระบวนการสร้างความเข้าใจ 10)การเรียนรู้เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น 11)ส่งเสริมให้ผู้เรียนเผชิญกับสถานการณ์ที่กระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้
12)สมองของบุคคลมีความเท่าเทียมกัน
15. ฝึกการนำเสนอ ฝึกการฟัง
ฝึกการอ่าน ฝึกการตั้งคาถาม ฝึกการเชื่อมโยงทางความคิด
ฝึกการเขียนและเรียบเรียงความคิดเป็นตัวหนังสือ
การสอนโดยการใช้สมองเป็นพื้นฐาน(Brain based
Learning: BBL)
Brain Based
Learning คือ
การใช้ความรู้ความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับสมองเป็นเครื่องมือในการออกแบบกระบวนการเรียนรู้และกระบวนการอื่นๆ
ที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างศักยภาพสูงสุดในการเรียนรู้ของมนุษย์ โดยเชื่อว่าโอกาสทองของการเรียนรู้อยู่ระหว่างแรกเกิด
– 10 ปี Regate และ Geoffrey
Caine นักวิจัยเกี่ยวกับการเรียนรู้โดยใช้ความรู้เกี่ยวกับสมองเป็นหลัก
ได้เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอน 12 ข้อ
ดังต่อไปนี้
1. สมองเป็นกระบวนการคู่ขนาน
สมองเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญที่สุดในร่างกายของคนเรา
เพราะการที่มนุษย์ สามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ
ได้นั้นจะต้องอาศัยสมองและระบบประสาทเป็นพื้นฐานของ การรับรู้
รับความรู้สึกจากประสาทสัมผัส ได้แก่ ตาทำให้เห็น หูทำให้ได้ยิน จมูกทำให้ได้กลิ่น
ลิ้นทำให้ได้รับรส และผิวกายทำให้เกิดกการสัมผัส
แนวการจัดกิจกรรมการสอน
ครูจำเป็นต้องใช้กลวิธีและเทคนิคที่หลากหลายเพื่อกระตุ้นสมองของนักเรียน
ไม่มีวิธีหรือเทคนิคของใครสมบูรณ์ที่สุดดังนั้นการสอนที่ดีต้องสอดคล้องกับการที่จะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามเป้าหมายของการศึกษานั้นขึ้นอยู่กับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เอื้อต่อการเรียนรู้ซึ่งกระบวนการเรียนรู้ของบุคคลนั้นมีความหลากหลายและแตกต่างกันไปตามประสบการณ์และความสามารถพื้นฐานของบุคคลนั้น
ๆ หรือ Style การเรียนรู้มีหลายรูปแบบ โดยพบว่าห้องเรียนหนึ่ง
ๆ มักจะมีผู้ถนัดการเรียนรู้อยู่ 4 รูปแบบ คือ นักทฤษฎี
นักวิเคราะห์ นักปฏิบัติ และนักกิจกรรม ดังนั้น
ครูจึงจำเป็นต้องจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้เหมาะสมและเอื้อต่อผู้เรียนทั้ง 4 แบบอย่างเสมอภาคกันเพื่อให้ผู้เรียนมีความสนุกสนานเกิดความสุขในการเรียนรู้ตามรูปแบบที่ตนถนัด
รวมทั้งยังมีโอกาสพัฒนาความสามารถด้านอื่นๆที่ตนเองไม่ถนัดด้วยวิธีการหลากหลายอีกด้วยโดยอาจเริ่มจากรู้จักผู้เรียนเป็นรายบุคคลแล้ววางแผนจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับลักษณะของผู้เรียนรวมทั้งสร้างโอกาสให้เขาได้พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง
2. สมองกับการเรียนรู้
สมองไม่ได้มีหน้าที่เฉพาะรับรู้แต่เพียงอย่างเดียว
แต่จะเป็นอวัยวะที่สำคัญต่อการ
พัฒนาของอวัยวะทั้งหมดของร่างกาย ซึ่งจะรวมถึงการคิด การเรียนรู้
การจำ และพฤติกรรมของมนุษย์
มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ครูผู้สอนควรจะมีความรู้เรื่องที่เกี่ยวกับการทำงานและการพัฒนาของสมอง
เพื่อจะได้วางแผนจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในลักษณะที่กระตุ้นให้สมองคิดและทำงานแบบท้าทาย
ยั่วยุมากที่สุด ผู้เรียนได้คิดและแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ในทุกด้าน
ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนได้พัฒนากระบวนการคิดและเรียนรู้เต็มตามศักยภาพเป็นรากฐานไปสู่การเป็นคนดีคนเก่งและมีความสุขในการดำรงชีวิตและเมื่อเติบโตขึ้นจะได้เป็นเยาวชนพลเมืองที่ดีของสังคมต่อไป
วิธีการเตรียมความพร้อมทางสมอง
1. การดื่มน้ำ ควรดื่มน้ำบริสุทธิ์ วันละ 6 – 8 แก้ว
เพราะถ้าร่างกายได้รับน้ำอย่างเพียงพอจะทำให้เซลล์สมองทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. การรับประทานอาหาร ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ซึ่งถูกต้องตามหลักโภชนาการ เพราะอาหารจะทำให้เซลล์ประสาท/เซลล์สมองเจริญเติบโตส่งผลให้ความจำดีและเกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ
3. การหายใจ ควรฝึกหายใจให้ลึก ๆ ซ้ำ ๆ
และมีจังหวะที่แน่นอน เพราะสมองต้องการอ๊อกซิเจน
และอ๊อกซิเจนช่วยให้กระบวนการคิดดี ซึ่งถ้ามีการหายใจที่ถูกต้องจะช่วยให้เกิดสมาธิ
สมองปลอดโปร่ง ลดสภาพการหลง ๆ ลืม ๆ และสามารถป้องกันโรคสมองเสื่อมได้
4. การฟังเพลง / ดนตรี ควรหาโอกาสฟังเพลง / ดนตรี
จะกระตุ้นให้เกิดการรับรู้และกระตุ้นการทำงานของสมองทั้งสองซีกให้สอดคล้องกันทั้งระบบ
การฟังเพลงที่มีคุณภาพทำให้สมองผลิต Alpha Waves และ Theta
Waves ทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างรวดเร็วและเกิดความคิดสร้างสรรค์ชั้นสูง
5. การคลายความเครียด
ความเครียดเป็นอุปสรรค์ต่อการเรียนรู้ ดังนั้น ควรหาเวลาพักผ่อน ออกกำลังกาย
จัดลำดับความสำคัญของงาน การหัวเราะ / ยิ้ม ทำให้จิตใจเบิกบาน
ไม่เครียดและไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนไร้ค่า
6. การบริหารสมอง
การบริหารสมองเป็นระบบการเคลื่อนไหวร่างกาย ที่จะเร้าให้ สมองทำงานอย่างดี
เป็นการเชื่อมโยงระหว่างการเคลื่อนไหวร่างกายกับการทำงานของสมอง
3. การเรียนรู้มีมาแต่กำเนิด
ในการเรียนรู้ของบุคคลเรานั้นจะเกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มมีชีวิต
และเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าการเรียนรู้ที่ดีที่สุดนั้นจะต้องลงมือปฏิบัติด้วยตนเองหรือเป็นการเรียนรู้โดยประสบการณ์ตรง
การเรียนรู้กับการเรียนการสอน
การที่จะทำให้ผู้เรียนได้มีโอกาสศึกษาเรียนรู้เพื่อเป็นผู้ที่เก่ง
ดี และมีความสุขได้นั้น ย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการด้วยกัน
แต่ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญยิ่ง ได้แก่ การจัดการเรียนการสอน
เพราะหัวใจของการเรียนการสอนคือการเรียนรู้ของผู้เรียน ซึ่งถ้าหากมีการจัดการเรียนการสอนที่ดี
ย่อมก่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่ดีได้
ลักษณะการเรียนการสอนที่ดี มีดังต่อไปนี้
1. ต้องคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล
2. เน้นความต้องการของผู้เรียนเป็นหลัก
3. ต้องพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้เรียน
4. ต้องเป็นที่น่าสนใจ ไม่ทำให้ผู้เรียนรู้สึกเบื่อหน่าย
5. ต้องดำเนินไปด้วยความเมตตากรุณาต่อผู้เรียน
6. ต้องท้าทายให้ผู้เรียนอยากเรียนรู้
7. ต้องตระหนักถึงเวลาที่เหมาะสมที่ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้
8. ต้องสร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้
โดยการปฏิบัติจริง
9. ต้องสนับสนุนส่งเสริมการเรียนรู้
10. ต้องมีจุดมุ่งหมายของการสอน
11. ต้องสามารถเข้าใจผู้เรียน
12. ต้องคำนึงถึงภูมิหลังของผู้เรียน
13. ต้องไม่ยึดวิธีการใดวิธีการหนึ่งเท่านั้น
14. การเรียนการสอนที่ดีเป็นพลวัตร (Dynamic) คือ มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง
อยู่ตลอดเวลา ทั้งในด้านการจัดกิจกรรม การสร้างบรรยากาศ รูปแบบ
เนื้อหาสาระ
เทคนิควิธี ฯลฯ
15. ต้องสอนในสิ่งที่ไม่ไกลตัวผู้เรียนมากเกินไป
16. ต้องมีการวางแผนการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ
ดังนั้น การเรียนรู้ของผู้เรียนจะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ถ้าผู้วางแผนการเรียนรู้ได้ คำนึงถึงลักษณะการเรียนรู้ที่ดี วิธีการเรียนรู้
หลักการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ
หลักการสอนที่มีประสิทธิภาพและลักษณะการเรียนการสอนที่ดี
ดังที่นำเสนอเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการวางแผนการจัดการเรียนรู้ต่อไป
4. รูปแบบการเรียนรู้ของบุคคล
ผู้เรียนในห้องเรียนหนึ่ง
ๆ มักจะมีผู้ถนัดการเรียนรู้ตามรูปแบบของตน
ครูจึงจำเป็นต้องจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับผู้เรียนทุกรูปแบบอย่างเสมอภาคกัน
เพื่อให้ผู้เรียนมีความสนุกสนานและเกิดความสุขในการเรียนรู้ตามรูปแบบที่ตนถนัด
รวมทั้งยังมีโอกาสพัฒนาความสามารถด้านอื่น ๆ ที่ตนไม่ถนัดอีกด้วย
แนวการจัดการเรียนการสอน
การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้มิใช่เกิดจากการสั่ง
การสอน การถ่ายทอดเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเกิดจากประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของมนุษย์ มีการรับรู้ คือ การแสวงหาและรับข้อมูล
ข้อความรู้จากประสาทสัมผัสต่าง ๆ มีการบูรณาการความรู้ เป็นการนำข้อมูลข่าวสาร
ความรู้ใหม่ที่ได้รับมาผสมผสานเชื่อมโยงกับประสบการณ์ หรือโครงสร้างขอความรู้เดิม
เพื่อขยายหรือสร้างความรู้ใหม่ มีการประยุกต์ใช้
คือการนำความรู้มาใช้ในการดำรงชีวิต หรือ การแก้ปัญหาในการทำงาน ดังนั้น
การจัดการเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่แท้จริงและถาวรนั้น จะต้องจัดให้ครบ
องค์ประกอบทั้ง 3 ส่วน ได้แก่ การรับรู้ การบูรณาการความรู้
และการประยุกต์ใช้ เพื่อเป็นการเชื่อมโยงความรู้สู่การปฏิบัติจริงในวิถีชีวิต
5. ความสนใจมีความสำคัญต่อการเรียนรู้
ความสามารถพิเศษของมนุษย์
แบ่งออกเป็น 8 ด้านด้วยกัน
มนุษย์ย่อมมีความ แตกต่างระหว่างบุคคลแต่ละคนมักจะมีความเก่งไม่เหมือนกันควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเป็นผู้วางแผนในการพัฒนาตนเอง โดยเริ่มจากรู้จักตนเอง
รู้จุดเด่น จุดด้อย
ค้นหาวิธีการพัฒนาความเก่งให้แก่ตนเองที่จะนำไปสู่การปฏิบัติอย่างมีความสุขและเกิดการเรียนรู้อย่างมี
ความหมาย
แนวการจัดการเรียนการสอน
ครูผู้สอนจะต้องมีข้อมูลและรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล
คิดและจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาความถนัด/ความสามารถหรือความเก่งให้เก่งมากยิ่งขึ้น
รวมทั้งการพัฒนาด้านอื่น ๆ อีกให้มีความเก่งหลาย ๆ ด้าน
เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงออกถึงความสามารถหรือความเก่งสู่
สาธารณชน โดยอาจจัดเวทีให้แสดงอย่างอิสระ
6. สมองมีหน้าที่สร้างกระบวนการเรียนรู้
สมองของคนเราแบ่งออกเป็น 2 ซีก คือซีกซ้ายกับซีกขวา
สมองทั้งสองด้านมีความสัมพันธ์กัน สมองมีหน้าที่ ควบคุมการรับรู้ การคิด
การเรียนรู้และการจำควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆของร่างกาย และควบคุมความรู้สึกและพฤติกรรม
จะเห็นได้ว่า สมองไม่ได้มีหน้าที่เฉพาะรับรู้แต่เพียงอย่างเดียว
แต่จะเป็นอวัยวะที่สำคัญต่อการพัฒนาของอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย ซึ่งรวมถึงความคิด
การเรียนรู้ การจำ และพฤติกรรมของมนุษย์
แนวการจัดการเรียนการสอน
การจัดการเรียนการสอนที่ดี
ครูต้องมีความเข้าใจทักษะที่เกี่ยวโยงกับความสามารถพิเศษของสมองแต่ละซีก
สมองซีกซ้ายสั่งการทำงานเกี่ยวกับ คำ ภาษา ตรรก ตัวเลข/จำนวน ลำดับ ระบบ
การคิดวิเคราะห์ และการแสดงออกเป็นต้น สมองซีกขวาจะสั่งการเกี่ยวกับ จังหวะ ดนตรี
ศิลปะ จินตนาการ การสร้างภาพ การรับรู้ การเห็นภาพรวม ความจำ ความคิดสร้างสรรค์
เป็นต้น
7. การเรียนรู้ในสิ่งที่สนใจสามารถรับรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สมองจะซึมซับข้อมูลที่บุคคลมีความสนในเรื่องนั้นอยู่แล้ว
เชื่อมโยงกับข้อมูล ความรู้ใหม่ ประสานข้อมูลความรู้เข้าด้วยกัน ซึ่งหมายความว่า
การเรียนรู้ของมนุษย์จะมี ประสิทธิภาพสูงขึ้น
เมื่อมีการเชื่อมโยงระหว่างประสบการณ์เดิมของผู้เรียนกับการจัด
ประสบการณ์ในการเรียนรู้ในแต่ละครั้ง
แนวการจัดการเรียนการสอน
ควรจัดเนื้อหาที่มีความหลากหลายครอบคลุมทุกมิติของชีวิตมนุษย์ กระบวนการเรียนรู้มีลักษณะหลากหลายร่วมกันในลักษณะ ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง แหล่งการเรียนรู้หลากหลาย เช่น เรียนรู้จากสื่อธรรมชาติ จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ จากแหล่งงานอาชีพของชุมชน จากการค้นคว้าทางเทคโนโลยี ฯลฯ
ควรจัดเนื้อหาที่มีความหลากหลายครอบคลุมทุกมิติของชีวิตมนุษย์ กระบวนการเรียนรู้มีลักษณะหลากหลายร่วมกันในลักษณะ ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง แหล่งการเรียนรู้หลากหลาย เช่น เรียนรู้จากสื่อธรรมชาติ จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ จากแหล่งงานอาชีพของชุมชน จากการค้นคว้าทางเทคโนโลยี ฯลฯ
8.การเรียนรู้เกิดขึ้นได้เกี่ยวข้องกับกระบวนการทั้งในแบบที่มีจุดมุ่งหมายและไม่ได้ตั้งใจ
การเรียนรู้ของคนส่วนใหญ่มักเกิดการเรียนรู้ขึ้นได้จากสิ่งที่ไม่ได้ตั้งใจ
สามารถเรียนรู้ได้จากประสบการณ์ในสถานการณ์จริงเช่นในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เผชิญอยู่โดยไม่ได้คิดในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นมาก่อนโดยอาศัยประสบการณ์เดิมของแต่ละบุคคลในการเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม
แนวการจัดกิจกรรมการสอน
ในกระบวนการเรียนรู้นั้นขณะที่ผู้เรียนเรียนรู้นั้นอาจเป็นแค่การรับรู้ แต่ยังไม่เข้าใจ
ความเข้าใจอาจเกิดขึ้นภายหลังจากที่ผู้เรียนสามารถมองเห็นถึงความหมายและความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันถึงสิ่งต่าง
ๆ ที่ตนเองรับรู้จากแหล่งความรู้ที่หลากหลายในระดับที่สามารถอธิบายเชิงเหตุผลได้ซึ่งบางครั้งการสอนในชั้นเรียนเมื่อจบลงบางบทเรียนไม่สามารถทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้เนื่องจากการสอนนั้นไม่สอดคล้องกับประสบการณ์เดิมของผู้เรียน
9.การเรียนรู้ที่เกิดจากกระบวนการสร้างความเข้าใจ
การเรียนรู้ที่ดีเกิดจากกระบวนการที่สร้างความเข้าใจ และให้ความหมายกับสิ่งที่รับรู้มา มีการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งที่เรียนกับชีวิตจริง สอน/แนะนำบนพื้นฐานความรู้ ประสบการณ์และทักษะที่มีอยู่เดิมของผู้เรียน
การเรียนรู้ที่ดีเกิดจากกระบวนการที่สร้างความเข้าใจ และให้ความหมายกับสิ่งที่รับรู้มา มีการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งที่เรียนกับชีวิตจริง สอน/แนะนำบนพื้นฐานความรู้ ประสบการณ์และทักษะที่มีอยู่เดิมของผู้เรียน
แนวการจัดการเรียนการสอน
บางครั้งการจำเป็นสิ่งสำคัญและมีประโยชน์
แต่การสอนที่เน้นการจำไม่ก่อให้เกิด
ความเชื่อมโยงให้เกิดการเรียนรู้และบางครั้งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาความเข้าใจ
ถ้าครูไม่ได้ศึกษาลีลารูปแบบการเรียนรู้ของผู้เรียนแต่ละประเภท ว่ามีความชื่นชอบ
ความถนัด วิธีการเรียนรู้ หลักการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ
และจัดกิจกรรมการสอนให้สอดคล้องกับผู้เรียนแต่ละประเภท
จะส่งผลต่อการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพเช่นเดียวกัน
10. การเรียนรู้เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
ภาษาแรกของมนุษย์เราถูกเรียนรู้จากประสบการณ์ที่มีปฏิสัมพันธ์กันอย่างหลากหลาย
ด้วยคำศัพท์และไวยกรณ์
ถูกเรียนรู้โดยกระบวนการเรียนรู้ภายในของบุคคลที่เกิดจากการมี
ปฏิสัมพันธ์กับสังคมและสิ่งแวดล้อมภายนอก
แนวการจัดการเรียนการสอน
ครูจำเป็นต้องใช้กิจกรรมที่เป็นสถานการณ์ในชีวิตประจำวัน
ประกอบด้วย การสาธิต การทำโครงงาน ทัศนศึกษา
การรับรู้ประสบการณ์ด้วยการมองเห็นของจริง การเล่าเรื่อง ละคร
และการมีปฏิสัมพันธ์ต่อคนหลายๆประเภทการเรียนแบบมุ่งประสบการณ์ทางภาษาสามารถเรียนรู้ได้ในกระบวนการโดยผ่านเรื่องหรือการเขียน
ความสำเร็จ ขึ้นอยู่กับการใช้ประสาทสัมผัสและให้ผู้เรียนพบประสบการณ์ที่ซับซ้อนและมีความเกี่ยวข้องกันในเนื้อหาครูไม่ควรเป็นเพียงผู้บรรยายแต่ควรเป็นผู้กำกับที่ทำให้ผู้เรียนเกิดประสบการณ์ที่ส่งผลต่อการเรียนรู้
11. การเรียนรู้
คือการส่งเสริมให้ผู้เรียนเผชิญกับสถานการณ์สิ่งแวดล้อมที่กระตุ้นการเรียนรู้เซลล์สมองจะเกิดมีการเชื่อมต่ออย่างสูงสุด เมื่อถูกกระตุ้นให้เผชิญกับสถานการณ์ ที่ท้าทายให้ผู้เรียนอยากเรียนรู้ โดยผ่านกระบวนการเล่นอย่างสนุกสนาน และมีความสุข ปราศจากความเครียด เพราะความเครียดเป็นสิ่งที่บั่นทอนการเรียนรู้ของผู้เรียนได้
คือการส่งเสริมให้ผู้เรียนเผชิญกับสถานการณ์สิ่งแวดล้อมที่กระตุ้นการเรียนรู้เซลล์สมองจะเกิดมีการเชื่อมต่ออย่างสูงสุด เมื่อถูกกระตุ้นให้เผชิญกับสถานการณ์ ที่ท้าทายให้ผู้เรียนอยากเรียนรู้ โดยผ่านกระบวนการเล่นอย่างสนุกสนาน และมีความสุข ปราศจากความเครียด เพราะความเครียดเป็นสิ่งที่บั่นทอนการเรียนรู้ของผู้เรียนได้
แนวการจัดการเรียนการสอน
ควรสร้างสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัยเพื่อ
การเรียนรู้ โดยผ่านการเล่นแบบท้าทาย การเสี่ยงความสนุกสนานเป็นสิ่งจำเป็นที่ทำให้เกิดการเรียนรู้การถูกทำโทษอันเนื่องมาจากความผิดพลาดจะทำให้เป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ ครูจึงไม่ควรลงโทษผู้เรียน
ในการเข้าร่วมกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนเผชิญกับสถานการณ์แวดล้อมที่กระตุ้นการเรียนรู้
12. สมองของบุคคลมีความเท่าเทียมกัน
มนุษย์ทุกคนมีระบบสมองที่เหมือนกัน
ถึงแม้ว่าทุกคนจะมีศักยภาพแตกต่างกันในด้าน ความรู้ความถนัดที่มีอยู่เดิม
ตามสภาพแวดล้อมของแต่ละคน แต่เราสามารถเรียนรู้ได้เต็มตามศักยภาพได้อย่างเท่าเทียมกัน
แนวการจัดการเรียนการสอน
ผู้เรียนมีความแตกต่างกันเกี่ยวกับความสามารถทางสติปัญญา
ความสามารถความเก่งของมนุษย์ คือ ทฤษฎีพหุปัญญา ความเป็นคนเก่งคืออะไร
มีคำตอบมากมายหลายรูปแบบ แต่สรุปรวมได้ว่า
คนเก่งคือผู้มีความสามารถด้านใดด้านหนึ่งเฉพาะด้าน หรือหลาย ๆ ด้าน
ที่แสดงออกถึงความสามารถได้อย่างเป็นที่ประจักษ์ ในการพัฒนาความเก่งนั้น
ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเป็นผู้วางแผนในการพัฒนาตนเอง โดยเริ่มจากการรู้จักตนเอง
รู้จุดเด่นจุดด้อย
ค้นหาวิธีพัฒนาความเก่งให้แก่ตนเองที่จะนำไปสู่การปฏิบัติอย่างมีความสุขและเกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย
ภายใต้การดูแล กระตุ้น ให้คำแนะนำ อำนวยความสะดวกของครู พ่อแม่
ผู้ปกครองและผู้เกี่ยวข้อง ดังนั้น
จะเห็นได้ว่าความเก่งพัฒนาได้ถ้ารู้วิธีและทำถูกวิธี
การสอนการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นพื้นฐาน
การจัดการเรียนรู้ของครูที่เป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ
Active Learning มีเทคนิคการสอน ที่หลากหลายเพื่อให้เด็กเกิดทักษะต่างๆ
ที่จำเป็นในการดำรงชีวิต
เน้นให้เด็กได้เรียนรู้จากการปฏิบัติจริงและเรียนรู้จากสถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวันเพื่อให้ได้ฝึกทักษะการคิด
โดยมีการวางเงื่อนไขและกติกาในการร่วมกิจกรรมซึ่งกิจกรรมการเรียนรู้ที่จัดขึ้นเน้นให้ผู้เรียนได้ฝึกกระบวนการทำงานกลุ่มการรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นตลอดจนทักษะการสื่อสารที่ถือว่ามีความจำเป็นและสำคัญต่อการดำรงชีวิตอย่างมากโดยเด็กจะเสนอสิ่งที่ตนเองอยากเรียนรู้ขึ้นมาและครูมีบทบาทเป็นผู้ชี้แนะ
การจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน
(Problem-Based Learning) เป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ
Active Learning ซึ่งในการจัดทำคู่มือจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานครั้งนี้
ขอนำเสนอสาระสำคัญเกี่ยวกับแนวคิดพื้นฐานจุดมุ่งหมายของการจัดการเรียนรู้ลักษณะของปัญหาในการจัดการเรียนรู้ การเตรียมตัวของครูก่อนการจัดการเรียนรู้
ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้การประเมินผลการเรียนรู้ และบทบาทของครูในการจัดการเรียนรู้
ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้การประเมินผลการเรียนรู้ และบทบาทของครูในการจัดการเรียนรู้
1. แนวคิดพื้นฐานของการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน
การจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานเป็นจัดการเรียนรู้ที่เน้นในสิ่งที่เด็กอยากเรียนรู้
โดยสิ่งที่อยากเรียนรู้ดังกล่าวจะต้องเริ่มมาจากปัญหาที่เด็กสนใจหรือพบในชีวิตประจำวันที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับบทเรียน อาจเป็นปัญหาของตนเองหรือปัญหาของกลุ่มซึ่งครูจะต้องมีการปรับเปลี่ยนแผนการจัดการเรียนรู้ตามความสนใจของเด็กตามความเหมาะสมจากนั้นครูและเด็กร่วมกันคิดกิจกรรมการเรียนรู้เกี่ยวกับปัญหานั้นโดยปัญหาที่จะนำมาใช้ในการจัดการเรียนรู้บางครั้งอาจเป็นปัญหาของสังคมที่ครูเป็นผู้กระตุ้นให้เด็กคิดจากสถานการณ์
ข่าว เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น จะเน้นที่กระบวนการเรียนรู้ของเด็ก
เด็กต้องเรียนรู้จากการเรียน (learning to
learn) เน้นปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนในกลุ่ม
การปฏิบัติและการเรียนรู้ร่วมกัน (Collaborative Learning) นำไปสู่การค้นคว้าหาคำตอบหรือสร้างความรู้ใหม่บนฐานความรู้เดิมที่ผู้เรียนมีมาก่อนหน้านี้
2. จุดมุ่งหมายของการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน
รูปแบบกิจกรรมการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานมีจุดมุ่งหมายเพื่อฝึกทักษะการคิดแก้ปัญหาอย่างมีเหตุผลและเป็นระบบให้แก่นักเรียนโดยจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นทักษะกระบวนการคิดแก้ปัญหา การคิดสร้างสรรค์ คิดวิจารณญาณ การสืบค้นและรวบรวมข้อมูล
กระบวนการกลุ่ม การบันทึกและการอภิปราย
3. ลักษณะของปัญหาในการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน
เกิดขึ้นในชีวิตจริงและเกิดจากประสบการณ์ของผู้เรียนหรือผู้เรียนอาจมีโอกาสได้เผชิญกับปัญหานั้น
-เป็นปัญหาที่พบบ่อยมีความสำคัญมีข้อมูลเพียงพอสำหรับการค้นคว้า
-เป็นปัญหาที่ยังไม่มีคำตอบชัดเจน
ตายตัวหรือแน่นอนและเป็นปัญหาที่มีความซับซ้อนคลุมเครือหรือผู้เรียนเกิดความสงสัย
-เป็นปัญหาที่มีประเด็นขัดแย้ง
ข้อถกเถียงในสังคมยังไม่มีข้อยุติ
-เป็นปัญหาที่อยู่ในความสนใจ
เป็นสิ่งที่อยากรู้แต่ไม่รู้
-ปัญหาที่สร้างความเดือดร้อน เสียหาย เกิดโทษ ภัย
และเป็นสิ่งไม่ดี หากมีการนำข้อมูลมาใช้โดยลำพังคนเดียวอาจทำให้ตอบปัญหาผิดพลาด
-ปัญหาที่ได้รับการยอมรับจากผู้อื่นว่าจริง ถูกต้อง
แต่ผู้เรียนไม่เชื่อว่าจริง ยังไม่สอดคล้องกับความคิดของผู้เรียน
-ปัญหาที่อาจมีคำตอบหรือแนวทางการแสวงหาคำตอบได้หลายทางครอบคลุมการเรียนรู้ที่กว้างขวางหลากหลายเนื้อหา
-เป็นปัญหาที่มีความยากง่ายเหมาะสมกับพื้นฐานของผู้เรียน
-เป็นปัญหาที่ไม่สามารถหาคำตอบของปัญหาได้ทันที
ต้องมีการสำรวจ ค้นคว้าและรวบรวมข้อมูล หรือทดลองดูก่อน จึงจะได้คำตอบ
ไม่สามารถคาดเดา หรือทำนายได้ง่ายๆ ว่าต้องใช้ความรู้อะไร
ยุทธวิธีในการสืบเสาะหาความรู้เป็นอย่างไร หรือคำตอบ หรือผลของความรู้เป็นอย่างไร
-เป็นปัญหาที่ส่งเสริมความรู้ด้านเนื้อหา ทักษะ
สอดคล้องกับหลักสูตรการศึกษา
4. การเตรียมตัวของครูก่อนการจัดการเรียนรู้
1) ศึกษาหลักสูตร
เพื่อให้ครูเกิดความเข้าใจจุดประสงค์ของหลักสูตร
ตลอดจนตัวชี้วัดและมาตรฐานการเรียนรู้ต่างๆอย่างละเอียดและสามารถนำความรู้ดังกล่าวไปจัดกระบวนการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางตามเป้าหมายการเรียนรู้ได้
2) วางแผนผังการจัดการเรียนรู้เกี่ยวกับเนื้อเรื่องที่จะสอน
โดยครูต้องหาความรู้ที่เชื่อมโยงกับเนื้อเรื่องในการกำหนดแผนการจัดการเรียนรู้
คือมีการออกแบบกิจกรรมด้วยตนเองใช้สื่อและแหล่งเรียนรู้ชุมชนเพื่อเป็นการสร้างแรงบันดาลใจในการเรียนรู้ให้กับเด็กออกแบบกิจกรรมใช้สื่อให้ทันกับเหตุการณ์ปัจจุบัน ทันกับคำตอบของเด็ก
และเชื่อมโยงกับสิ่งที่เด็กเรียนรู้ โดยเน้นออกแบบกิจกรรมการสอนแบบบูรณาการรายวิชา
3)ออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมครูผู้สอนต้องออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้อย่างรัดกุมให้รายละเอียดการจัดกิจกรรมที่ชัดเจนคือไม่ว่าครูท่านใดอ่านแผนการจัดการเรียนรู้ แล้วสามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแผนดังกล่าวได้
4) ครูผู้สอนสอบถามความต้องการในการเรียนและสร้างความคุ้นเคยกับนักเรียน
ครูจะต้องสร้างความคุ้นเคยกับนักเรียนและถามความต้องการของนักเรียนว่าอยากเรียนอะไรในปีการศึกษานั้นเพื่อสำรวจความต้องการของผู้เรียนไว้เป็นแนวทางในการออกแบบการจัดการเรียนรู้ให้สอดคล้องระหว่างหลักสูตรและความต้องการของนักเรียน
เพื่อความสะดวกในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีความเหมาะสมและเป็นกิจกรรมที่น่าสนใจสำหรับนักเรียนมากขึ้น
5. ขั้นตอนการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน
สำหรับคู่มือการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานนี้
ได้นำขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานที่ได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลการแลกเปลี่ยนเรียนรู้โดยโครงการพัฒนาโรงเรียนต้นแบบและภาคีที่เกี่ยวข้องเพื่อการพัฒนาทักษะแห่งศตวรรษที่
21 มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ (มสส.)
โดยมีขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ ดังนี้
1) ทดสอบความรู้เกี่ยวกับเนื้อหาที่จะสอนก่อนเรียน
เพื่อจะได้ทราบความรู้พื้นฐานของนักเรียนเป็นรายบุคคลในเรื่องดังกล่าวและเป็นแนวทางในการออกแบบหรือปรับกระบวนการจัดการเรียนรู้ของครูให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของนักเรียนด้วย
2) ให้ความรู้เบื้องต้นก่อนเริ่มกิจกรรมการเรียนรู้ความรู้พื้นฐานจะนำไปสู่การเรียนรู้ของเด็กในกิจกรรมที่ต้องลงมือปฏิบัติ ดังนั้น
ครูจึงต้องอธิบายเนื้อหาคร่าวๆ เพื่อให้เด็กเกิดความเข้าใจในเบื้องต้น
3) เปิดโอกาสให้เด็กเสนอสิ่งที่อยากเรียนรู้
โดยให้เด็กเขียนถึงสิ่งที่ตนเองอยากเรียนรู้ และสิ่งที่ตนเองเรียนรู้มาแล้ว
สิ่งที่เด็กอยากเรียนรู้อาจเป็นปัญหาในชีวิตประจำวัน หรือปัญหาของชุมชน
หรือแนวทางในการแก้ปัญหาที่ถูกกำหนดขึ้นในชั้นเรียน ที่เด็กช่วยกันคิดและอยากลงมือปฏิบัติ
4) แบ่งกลุ่มเด็กในการทำกิจกรรม
เพื่อให้เด็กรู้จักวางแผนคือ ให้เด็กรู้จักกำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ของตนเอง
โดยการทำปฏิทินการเรียนรู้ตามความต้องการในการเรียนของตน
วิธีการดังกล่าวเพื่อให้เด็กรู้หน้าที่ของตนเองและในขณะเดียวกันสามารถแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบให้แก่ตนเองและเพื่อนในกลุ่มได้
5) สร้างกติกาในการร่วมกิจกรรมในชั้นเรียนเพื่อให้เด็กรู้จักเคารพในเงื่อนไขและกติกาที่กำหนดขึ้น
โดยทุกคนในชั้นเรียนจะต้องยอมรับและปฏิบัติตาม
6)ให้เด็กลงมือปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเองครูเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้และลงมือปฏิบัติได้กิจกรรมต่างๆด้วยตนเอง
โดยครูจะคอยเป็นผู้แนะนำ ตอบคำถามและสังเกตเด็กขณะทำกิจกรรม
7) ครูให้เด็กสรุปสิ่งที่เรียนรู้จากการทำกิจกรรมและให้เด็กได้นำเสนอผลงานของตน
โดยครูเป็นผู้คอยสนับสนุนให้เกิดการนำเสนอที่หลากหลายรูปแบบและเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ไม่จำกัดแนวคิดในการนำเสนอ
8)ประเมินผลการจัดการเรียนรู้ตามสภาพจริงประเมินผลการจัดการเรียนรู้ของเด็กจากผลงานและพฤติกรรมที่เด็กแสดงออกขณะร่วมกิจกรรมโดยกำหนดเกณฑ์การประเมินผลการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับเนื้อหาที่จะสอนเป็นหลัก
6. การประเมินผลการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน
การประเมินผลการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานควรจะมีการประเมินผลตามสภาพจริง
มีการกำหนดเป้าหมายที่มีความสัมพันธ์ในการประเมิน ได้แก่
1) ควรทำความเข้าใจด้านกระบวนการที่เกี่ยวกับการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน
2) การพัฒนาการเรียนรู้ด้วยตนเองของผู้เรียน
3) สิ่งที่ได้รับจากเนื้อหาวิชา โดยทำการประเมินดังนี้
1) การประเมินตามสภาพจริง
เป็นการวัดผลหรือประเมินผลการปฏิบัติงานของนักเรียนโดยตรงผ่านชีวิตจริง เช่น
การดำเนินการด้านการสืบสวน ค้นคว้า การร่วมมือกันทำงานกลุ่มในการแก้ปัญหา
การวัดผลจากการปฏิบัติงานจริง เป็นต้น
2)การสังเกตอย่างเป็นระบบเป็นอีกวิธีหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับการประเมินผลในด้านทักษะกระบวนการของผู้เรียนในขณะเรียน
ผู้สอนต้องมีการกำหนดเกณฑ์การประเมินให้ชัดเจน เช่น การแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์นั้น
ควรมีการกำหนดเกณฑ์การประเมินไว้ ได้แก่ การสร้างปัญหาหรือคำถาม การสร้างสมมติฐาน
การระบุตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และตัวแปรควบคุม การอธิบายแนวทางในการเก็บรวบรวมข้อมูล
และการประเมินผลสมมติฐานบนพื้นฐานของข้อมูลที่ดี
7. บทบาทของครูในการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน
การจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานครูผู้สอนจะทำหน้าที่สนับสนุนการเรียนรู้ของผู้เรียน
คอย ให้คำปรึกษา
กระตุ้นให้ผู้เรียนเอาความรู้เดิมที่มีอยู่มาใช้และเกิดการเรียนรู้โดยการตั้งคำถาม
ส่งเสริมให้ผู้เรียนประเมินการเรียนรู้ของตนเอง
รวมทั้งเป็นผู้ประเมินทักษะของผู้เรียนและกลุ่ม
พร้อมให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อให้ผู้เรียนได้เกิดการพัฒนาตนเอง
3. กลุ่มมนุษยนิยม
วิธีการสอนแบบอภิปราย
วิธีการสอนแบบอภิปราย
หมายถึง
วิธีการสอนที่มุ่งให้ผู้เรียนได้มีโอกาสสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือพิจารณาหัวข้อที่กลุ่มสนใจร่วมกันวิธีการสอนแบบอภิปรายจึงเป็นวิธีการสอนที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนคือ ได้คิด
ได้ทำ ได้แก้ปัญหา ได้ฝึกการร่วมการทำงานแบบประชาธิปไตย
ผู้เรียนจึงเป็นศูนย์กลางของการเรียน มีลักษณะการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น
เป็นฯการพัฒนาผู้เรียนทางด้านความรู้และด้านเจตคติ และด้านทักษะการเรียนรู้ เช่น
ทักษะการคิด ทักษะการพูด การฟัง การแสดงความคิดเห็น การทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม เป็นต้น
ความมุ่งหมาย
1. เพื่อเปิดให้ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็นร่วมกัน
เป็นการพัฒนาทักษะการพูด การคิด
2. เพื่อฝึกการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม ฝึกการเป็นผู้นำ
ผู้ตาม การรับฟังความคิดของผู้อื่น และเป็นสมาชิกที่ดีของกลุ่ม
3. เพื่อฝึกการค้นคว้าหาความรู้มาอภิปรายให้คนอื่นทราบ
1.ขั้นเตรียมการอภิปราย
- หัวข้อและรูปแบบ
- ผู้เรียน
- ห้องเรียน
- สื่อการเรียน
2.ขั้นดำเนินการอภิปราย
- บอกหัวข้อหรือปัญหา
- ระบุจุดประสงค์
- บอกเงื่อนไขหลักเกณฑ์
- ดำเนินการอภิปราย
3. ขั้นสรุป ประกอบด้วย
- สรุปผลการอภิปราย
- สรุปเรียน
- ประเมินผลการเรียน
ขั้นตอนการอภิปรายมี 3ขั้นตอน
1. ขั้นเตรียมการอภิปราย
1.1 หัวข้อและรูปแบบการอภิปราย
เตรียมให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ของบทเรียน เวลาเรียน จำนวนผู้เรียน สถานที่ เช่น
ถ้าเวลาจำกัด ควรใช้แบบซุบซิบปรึกษาถ้าต้องการรวบรวมความคิดอาจใช้แบบระดมสมอง
ถ้ามีเวลาให้ผู้เรียนได้เตรียมเนื้อหาสาระความรู้มาล่วงหน้า ควรใช้แบบซิมโพเซียม
1.2 ผู้เรียน
ผู้สอนควรให้ผู้เรียนเตรียมตัวการอภิปรายมาล่วงหน้าจะทำให้ผู้เรียนได้ประโยชน์จากการเรียนแบบอภิปรายอย่างแท้จริง
1.3 ห้องเรียน
ผู้สอนควรจัดโต๊ะเก้าอี้ให้เหมาะสมกับรูปแบบการอภิปราย เช่น
จัดแบบวงกลมเหมาะสำหรับการอภิปรายแบบระดมสมองจัดแบบตัวยูหรือสี่เหลี่ยมผืนผ้าเหมาะสำหรับกลุ่มใหญ่จัดแบบตัวทีหรือแบบเรียงแถวหน้ากระดานเหมาะสำหรับแบบหมู่พาแนล
1.4 สื่อการเรียน
อาจต้องใช้เอกสารประกอบการอภิปรายของแต่ละกลุ่มผู้สอนควรเตรียมไว้ให้พร้อม
2. ขั้นดำเนินการอภิปราย
ผู้สอนมีบทบาทสำคัญในการควบคุมและอภิปรายให้ดำเนินไปได้ด้วยดีต้องดำเนินการต่อไปนี้
2.1
บอกหัวข้อหรือปัญหาที่จะอภิปรายให้ชัดเจน
2.2 ระบุจุดประสงค์การอภิปรายให้ชัดเจน
2.3
บอกเงื่อนไขหลักเกณฑ์การอภิปรายเช่นระยะเวลาที่ใช้ รูปแบบวิธีการ
2.4
ให้ดำเนินการอภิปรายโดยผู้สอนควรช่วยเหลือให้การอภิปรายดำเนินไปได้ด้วยดีผู้สอนไม่ควรเข้าไปกำกับหรือเข้าไปแทรกแซงผู้เรียนตลอดควรคอยดูอยู่ห่างๆ
3. ขั้นสรุป
3.1
สรุปผลการอภิปรายเป็นช่วงที่ผู้แทนกลุ่มสรุปอภิปราย
นำเสนอผลการอภิปรายต่อที่ประชุม ผู้สอนอาจถามคำถามผู้อภิปรายได้ในสาระสำคัญที่ต้องการให้ผู้เรียนได้รับขณะเดียวกันช่วยกลุ่มอภิปรายให้เกิดความกระจ่างในเนื้อหาบางตอนได้
3.2 สรุปเรียน
ผู้สอนเป็นผู้สรุปเนื้อหาสาระสำคัญที่ได้จากการอภิปรายควรได้เสริมข้อคิดแทรกความรู้
ตลอดจนนำแนวทางความรู้ไปใช้เกิดประโยชน์การสรุปนั้นควรสรุปเป็นหัวข้อกระดานดำ
เพื่อให้ผู้เรียนได้เข้าใจและบันทึกได้ง่าย
3.3 ประเมินผลการเรียน
ผู้สอนควรมีการประเมินผลการเรียนการอภิปรายภายหลังที่สิ้นสุดบทเรียนเพื่อดูว่าการอภิปรายในคาบนั้นมีคุณค่าหรือมีข้อบกพร่องอย่างไรโดยประเมินให้ครอบคลุมถึงเนื้อหาหัวข้อการอภิปราย
จุดประสงค์ รูปแบบ
บรรยากาศฯลฯทั้งนี้เพื่อเป็นข้อมูลในการปรับปรุงการเรียนการสอนด้วย
วิธีสอนแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific
Method)
วิธีสอนแบบวิทยาศาสตร์ เป็นวิธีสอนที่เปิดโอกาสให้นักเรียนพบปัญหา
และคิดหาวิธีแก้ปัญหาโดยขั้นทั้ง 5
ของวิทยาศาสตร์
ขั้นตอนของวิธีสอนแบบวิทยาศาสตร์
1. ขั้นกำหนดปัญหา และทำความเข้าใจถึงปัญหา
เป็นขั้นในการกระตุ้น
หรือเร้าความสนใจให้นักเรียนเกิดปัญหา
อยากรู้อยากเห็นและอยากทำกิจกรรมในสิ่งที่เรียนหน้าที่ของครูคือการแนะแนนำให้นักเรียนเห็นปัญหา จัดสิ่งแวดล้อมในการแก้ปัญหาโดยมีนวัตกรรมต่างๆ
เป็นเครื่องช่วย
2. ขั้นแยกปัญหา และวางแผนแก้ปัญหา
ขั้นนี้ครูและนักเรียนช่วยกันแยกแยะปัญหา
กำหนดขอบข่ายการแก้ปัญหาและจัดลำดับขั้นตอนก่อนหลังในการแก้ปัญหา ดังนี้
2.1
ครูและนักเรียนร่วมกันวางแผนและกำหนดวิธีการแก้ปัญหา
2.2
แบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มรับผิดชอบและทำงานตามความสามารถและความสนใจ
2.3
แนะนำให้นักเรียนในแต่ละกลุ่มรู้จักแหล่งความรู้เพื่อศึกษาค้นคว้าและนำไปใช้ประโยชน์ในการแก้ปัญหา
3. ขั้นลงมือแก้ปัญหาและเก็บข้อมูล
เป็นขั้นการเรียนรู้ของนักเรียนเองโดยการกระทำจริงๆ
โดยส่งเสริมให้นักเรียนได้มีความรู้ความสามารถที่จะนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้
ในขั้นนี้ครูมีหน้าที่ ดังนี้
3.1
แนะนำให้นักเรียนแต่ละกลุ่มเข้าใจปัญหา รู้จักวิธีแก้ปัญหา และรู้จักแหล่ง
ความรู้สำหรับแก้ปัญหา
3.2
แนะนำให้นักเรียนทำงานอย่างมีหลักการ
4. ขั้นวิเคราะห์ข้อมูลหรือรวบรวมความรู้เข้าด้วยกันและแสดงผล
เป็นขั้นการรวบรวมความรู้ต่างๆ
จากปัญหาที่แก้ไขแล้ว นักเรียนแต่ละกลุ่มจะต้องแสดง ผลงานของตน
5. ขั้นสรุปและประเมินผลหรือขั้นสรุปและการนำไปใช้
ครูและนักเรียนช่วยกันสรุปและประเมินผลการปฏิบัติการแก้ปัญหาดังกล่าวว่ามีผลดีผล เสียอย่างไร แล้วบันทึกเรียบเรียงไว้เป็นหลักฐาน
ครูและนักเรียนช่วยกันสรุปและประเมินผลการปฏิบัติการแก้ปัญหาดังกล่าวว่ามีผลดีผล เสียอย่างไร แล้วบันทึกเรียบเรียงไว้เป็นหลักฐาน
ข้อดีของวิธีสอนแบบวิทยาศาสตร์
1. นักเรียนได้ศึกษาค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองและได้ร่วมปฏิบัติงานเป็นทีม
2. ส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตย
3. ส่งเสริมให้มีความรับผิดชอบ
4. ส่งเสริมให้นักเรียนได้ใช้ความคิดหาเหตุผลและมีการคิดอย่างเป็นระบบ
ข้อสังเกตของวิธีสอนแบบวิทยาศาสตร์
1. ปัญหาที่นำมาใช้ต้องเป็นปัญหาที่เกิดจากนักเรียน
ไม่ใช่เป็นปัญหาที่ครูกำหนด
2. ครูต้องยึดมั่นในบทบาทของตนในการทำหน้าที่ให้แนวทางในการคิดแก้ปัญหา
ไม่ใช่เป็นผู้ชี้นำความคิดของนักเรียน
วิธีสอนแบบหน่วย (Unit Teaching
Method)
วิธีสอนแบบหน่วยเป็นวิธีการสอนที่นำเนื้อหาวิชาหลายวิชามาสัมพันธ์กัน
โดยไม่กำหนดขอบเขตของวิชา แต่ยึดความมุ่งหมายของบทเรียนที่เรียกว่า “หน่วย” นักเรียนอาจเรียนหลายๆวิชาพร้อมๆกันไปตามความต้องการและความสามารถของนักเรียน
ความมุ่งหมายของวิธีสอนแบบหน่วย
1. เพื่อให้นักเรียนเรียนรู้ด้วยการปฏิบัติการศึกษาค้นคว้าหาความรู้และแก้ปัญหาด้วยตนเอง
2. เพื่อส่งเสริมการทำงานที่เป็นประชาธิปไตย ได้แก่
นักเรียนร่วมกันปรึกษาหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการปฏิบัติงานและแก้ปัญหาร่วมกัน
ขั้นตอนของวิธีการสอนแบบหน่วย
1.ขั้นนำเข้าสู่หน่วย
ขั้นตอนนี้ครูเป็นผู้เร้าความสนใจของนักเรียนด้วยการนำหนังสือที่น่าสนใจ
หรือสนทนาพูดคุยหรือเล่าเรื่องหรืออภิปรายหรือพาไปทัศนศึกษาหรือชมนิทรรศการ หรือชมภาพยนตร์ หรือชมวีดีทัศน์ ฯลฯ
2.ขั้นนักเรียนและครูวางแผนร่วมกันในการปฏิบัติกิจกรรมเริ่มด้วยการกำหนดความมุ่งหมายทั่วไป ความมุ่งหมายเฉพาะ
ช่วยกันตั้งปัญหาและแบ่งหัวข้อปัญหา
กำหนดกิจกรรมของแต่ละปัญหากำหนดสื่อการสอนที่จะนำไปใช้แก้ปัญหา แล้วจัดแบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มย่อยเพื่อทำกิจกรรม
และรายงานผลการปฏิบัติงาน
3.ขั้นลงมือทำงาน
เริ่มต้นด้วยการสำรวจและรวบรวมความรู้ต่างๆจากห้องสมุดพิพิธภัณฑ์
ได้แก่ หนังสือพิมพ์รายวัน นิตยสาร เอกสาร แบบเรียน ตำรา ร้านค้า
ภาพยนตร์ ความสัมพันธ์กับวิชาต่างๆ เช่น ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ศิลป ฯลฯ
1. ขั้นเสนอกิจกรรม ได้แก่
การเสนอกิจกรรมด้วยการรายงานผลการปฏิบัติงานโดยวาจาหรือ
รายงานผลเป็นข้อเขียน การอภิปราย การแสดงละคร การจัดนิทรรศการ
การใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และการเสนอกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์แบบอื่นๆ
2. ขั้นประเมินผล เป็นการประเมินผลการปฏิบัติงานตามขั้นตอน
และจุดประสงค์ของหน่วย
โดยพิจารณาความรู้เชิงวิชาการ เจตคติ และความสนใจต่างๆ
รวมทั้งคุณสมบัติส่วนตัว เช่น คุณสมบัติด้านการเป็นผู้นำ ความรับผิดชอบ
ความมีระเบียบวินัย การแสดงความคิดเห็นต่อกลุ่ม และยอมรับฟังความคิดเห็นของกลุ่ม
ข้อดีของวิธีสอนแบบหน่วย
1. เป็นวิธีการสอนที่ส่งเสริมความถนัดตามธรรมชาติของนักเรียน
เพราะการสอนแบบนี้มีกิจกรรมหลายประเภทให้นักเรียนได้เลือกปฏิบัติทำตามที่ถนัดและสนใจ
2. นักเรียนได้มีส่วนร่วมในการวางแผนการเรียนร่วมกับครู
3. นักเรียนได้รับการส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตย
และได้ฝึกทักษะการทำงานเป็นกลุ่ม
4. เป็นการสอนที่สร้างเสริมความสัมพันธ์ระหว่างวิชาต่างๆในหลักสูตร
ข้อสังเกตของวิธีสอนแบบหน่วย
1. วิธีสอนแบบนี้ต้องใช้เวลามาก
2. ครูผู้สอน
ต้องมีแหล่งความรู้ให้นักเรียนได้ศึกษาค้นคว้าอย่างเพียงพอ และหลากหลาย
วิธีสอนแบบแบ่งกลุ่มทำกิจกรรม
วิธีสอนแบบแบ่งกลุ่มทำงานเป็นวิธีสอนที่ครูมอบหมายให้นักเรียนทำงานร่วมกัน
เป็นกลุ่มร่วมมือกันศึกษาค้นคว้าหาวิธีการแกแก้ปัญหาหรือปฏิบัติกิจกรรมตามความสามารถ
ความถนัด หรือความสนใจ เป็นการฝึกให้นักเรียนทำงานร่วมกัน ตามวิถีแห่งประชาธิปไตย
ความมุ่งหมายของวิธีการสอนแบบแบ่งกลุ่มทำงาน
1. เพื่อให้นักเรียนมีความรับผิดชอบร่วมกัน
ในการทำงานนั่น คือส่งเสริมการทำงานเป็นทีม
2. เพื่อสร้างวัฒนธรรมในการทำงานร่วมกันอย่างมีระบบและมีระเบียบวินัย
รู้จักทำหน้าที่
3. เพื่อฝึกทักษะในการแก้ปัญหา
การศึกษาค้นคว้าและแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง
โดยปฏิบัติงานทั้งเป็นรายบุคคลและเป็นกลุ่ม และมีประสบการณ์ตรงในการทำงาน
4. เพื่อให้นักเรียนได้ทำงานตามความสนใจ ความถนัด
และความสามารถ
ขั้นตอนในการสอนแบบแบ่งกลุ่มทำงาน
1. ครูและนักเรียนร่วมกันกำหนดความมุ่งหมายของการทำงานในแต่ละกลุ่ม
ขั้นตอนนี้เป็นขั้นที่กำหนดความมุ่งหมายและวิธีการทำงานอย่างละเอียด
2. ครูเสนอแนะแหล่งวิทยาการที่จะใช้ค้นคว้าหาความรู้
ได้แก่ บอกรายละเอียดของหนังสือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า
3. นักเรียนร่วมกันวางแผนและปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมาย
4. ครูและนักเรียนประเมินผลการทำงาน
ในกรณีที่เป็นครูให้สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในการปฏิบัติงาน
ในกรณีนักเรียนร่วมกันประเมินผลการปฏิบัติงานในกลุ่มตนเองโดยบอกขั้น
ตอนการปฏิบัติงาน ผลที่ได้รับ และการพัฒนางานในโอกาสต่อไป
ข้อดีของวิธีการสอนแบบแบ่งกลุ่มทำงาน
1. นักเรียนได้แสดงความคิดเห็นของตนเองอย่างเต็มที
2. นักเรียนได้ทำงานตามความถนัด ความสามารถ
และความสนใจของตนเอง
ข้อสังเกตของวิธีการสอนแบบแบ่งกลุ่มทำงาน
1. ถ้าครูเพิ่งเริ่มใช้วิธีการสอนแบบแบ่งกลุ่มทำงานเป็นครั้งแรกครูควรดูแลนักเรียนใกล้ชิด เช่น ต้องดูแลให้นักเรียนทุกคนทาหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายนักเรียนผู้ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มต้องทำหน้าที่ประสานงานระหว่างสมาชิกในกลุ่มและนอกกลุ่ม
รวมทั้งประสานงานกับครู
2. หน้าที่การเป็นหัวหน้ากลุ่ม
ควรหมุนเวียนสับเปลี่ยนกัน เพื่อฝึกการเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี
3. การปฏิบัติกิจกรรมในกลุ่มควรปฏิบัติตามหลักเกณฑ์อย่างเคร่งครัด
วิธีการสอนแบบแบ่งกลุ่มทำงานนี้จะช่วยส่งเสริมการทำงานเป็นกลุ่ม
ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็นของตนเองอย่างเต็มที่
การจัดการเรียนรู้แบบค้นพบ (Discovery
Method)
เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนค้นหาคำตอบ
หรือความรู้ด้วยตนเอง
โดยผู้สอนจะเป็นผู้สร้างสถานการณ์ในลักษณะที่ผู้เรียนจะเผชิญกับปัญหา
ซึ่งในการแก้ปัญหานั้น ผู้เรียนจะใช้กระบวนการที่ตรงกับธรรมชาติของวิชาหรือปัญหานั้น
เช่นผู้เรียนจะศึกษาปัญหาทางชีววิทยา ก็จะใช้วิธีเดียวกันกับนักชีววิทยาศึกษา
หรือผุ้เรียนจะศึกษาปัญหาประวัติศาสตร์
ก็จะใช้วิธีการเช่นเดียวกับนักประวัติศาสตร์ศึกษา ดังนั้น
จึงเป็นวิธีจัดการเรียนรู้ที่เน้นกระบวนการ เหมาะสำหรับวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์
แต่ก็สามารถใช้กับวิธีอื่น ๆ ได้ ในการแก้ปัญหานั้น
ผู้เรียนจะต้องนำข้อมูลทำการวิเคราะห์ สังเคราะห์
และสรุปเพื่อให้ได้ข้อค้นพบใหม่หรือเกิดความคิดรวบยอดในเรื่องนั้น
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้
การจัดการเรียนรู้แบบค้นพบเน้นให้ผู้เรียนค้นหาคำตอบหรือความรู้ด้วยตนเอง
ซึ่งผู้เรียนจะใช้วิธีการหรือกระบวนการต่าง ๆ
ที่เห็นว่ามีประสิทธิภาพและตรงกับธรรมชาติของวิชา หรือปัญหา
ดังนั้นจึงมีผู้นำเสนอวิธีการการจัดการเรียนรู้ไวหลากหลายช่นการแนะให้ผู้เรียนพบหลักการทางคณิตศาสตร์ด้วยตนเองโดยวิธีอุปนัยการที่ผู้เรียนใช้กระบวนการแก้ปัญหาแล้วนำไปสู่การค้นพบมีการกำหนดปัญหา ตั้งสมมติฐานและรวบรวมข้อมูลทดสอบสมมติฐานและสรุปข้อค้นพบซึ่งอาจใช้วิธีการเก็บข้อมูลจากการทดลองด้วยการที่ผู้สอนจัดโปรแกรมไว้ให้ผู้เรียนใช้การคิดแบบอุปนัยและนิรนัยในเรื่องต่างๆก็สามารถได้ข้อค้นพบด้วยตนเอง ผู้สอนจะเป็นผู้ให้คำปรึกษา แนะนำหรือกระตุ้นให้ผู้เรียนใช้วิธีหรือกระบวนการที่เหมาะสม
จากเหตุผลดังกล่าว
ขั้นตอนการเรียนรู้จึงปรับเปลี่ยนไปตามวิธีหรือกรอบกระบวนการต่างๆที่ใช้ แต่ในที่นี้จะเสนอผลการพบความรู้ ข้อสรุปใหม่
ด้วยการคิดแบบอุปนัยและนิรนัย
การจัดการเรียนรู้แบบค้นพบมีขั้นตอนสำคัญดังต่อไปนี้
1.ขั้นนำเข้าสู่บทเรียนผู้สอนกระตุ้นและเร้าความสนใจของผู้เรียนให้สนใจที่จะศึกษาบทเรียน
2.ขั้นเรียนรู้
ประกอบด้วย
2.1 ผู้สอนใช้วิธีจัดการเรียนรู้ แบบอุปนัยในตอนแรก เพื่อให้ผู้เรียนค้นพบข้อสรุป
2.2
ผู้สอนใช้วิธีตัดการเรียนรู้
แบบนิรนัย
เพื่อให้ผู้เรียนนำข้อสรุปที่ได้ในข้อ
2
ไปใช้เพื่อเรียนรู้หรือค้นพบข้อสรุปใหม่ในตอนที่สองโดยอาศัยเทคนิคการซักถามโต้ตอบหรืออภิปรายเพื่อเป็นแนวทางในการค้นพบ
2.3 ผู้เรียนสรุปข้อค้นพบหรือความคิดรวบยอดใหม่
3.ขั้นนำไปใช้
ผู้สอนให้ผู้เรียนนำเสนอแนวทางการนำข้อค้นพบที่ได้ไปใช้ในการแก้ปัญหา
อาจใช้วิธีการให้ทำแบบฝึกหัดหรือแบบทดสอบหลังเรียน
เพื่อประเมินผลว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จริงหรือไม่
ประโยชน์
1. ช่วยให้ผู้เรียนคิดอย่างมีเหตุผล
2.ช่วยให้ผู้เรียนค้นพบสิ่งที่ค้นพบได้นานและเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
3.ผู้เรียนมีความมั่นใจ เพราะได้เรียนรู้สิ่งใหม่อย่างเข้าใจจริง
4.ช่วยให้ผู้เรียนมีพัฒนาการทางด้านความคิด
5.ปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน ค้นคว้าเพื่อหาคำตอบด้วยตนเอง
6. ก่อให้เกิดแรงจูงใจ
ความพึงพอใจในตนเองต่อการเรียนสูง
7.ผู้เรียนรู้วิธีสร้างความรู้ด้วยตนเอง เช่น
การหาข้อมูล
การวิเคราะห์และสรุปข้อความรู้
8.เหมาะสมกับผู้เรียนที่ฉลาด มีความเชื่อมั่นในตนเองและมีแรงจูงใจสูง
วิธีสอนแบบทีม
Team Based
Learning : TBL เป็นรูปแบบการสอนที่ได้รับการคิดค้นและพัฒนา โดยนักการศึกษาชาวอเมริกา คือ Larry K.
Michaelsen จาก University of Oklahoma และได้เผยแพร่รูปแบบการสอนนี้อย่างแพร่หลายในระดับอุดมศึกษา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสาขาแพทย์ศาสตร์ Team Based Learning หรือ
การเรียนโดยใช้ทีมเป็นฐาน
เป็นรูปแบบการสอนที่เน้นการร่วมมือกันในการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์
การทำงานด้วยกันเป็นทีมเล็กตามความแตกต่างระหว่างบุคคล
โดยมีการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน
สมาชิกภายในทีมมีหน้าที่รับผิดชอบและมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีในการทำงาน กุญแจสำคัญ 4 ข้อ ในการสอนแบบ TBL ให้ประสบความสำเร็จGroup
Formation การจัดทีมต้องมีความเหมาะสม คือ แบ่งทีมย่อย
ตามทักษะและความสามารถอย่างหลากหลายมีขนาด 5-7 คน
และควรเป็นทีมถาวร Accountable ผู้เรียนต้องมีความรับผิดชอบในเรื่อง
การเตรียมตัวของผู้เรียนแต่ละคนก่อนเข้าเรียน การช่วยเหลือกันในการทำงานของทีม Assignment
Quality การบ้านหรือการฝึกปฏิบัติที่ดีควรมาจากการเรียนรู้และการพัฒนา
Timely feedback ผู้เรียนต้องได้รับการสะท้อนกลับทันทีและบ่อย
ๆ ประโยชน์ของการเรียนแบบทีม การเรียนแบทีมทำให้ได้ผลสำเร็จที่สำคัญที่ทีมสามารถได้รับจากการจัดตั้งทีมชั่วคราว
หรือกิจกรรมทีมที่เกิดเป็นครั้งคราว มีประโยชน์ดังนี้
1. พัฒนาทักษะการรู้คิดของผู้เรียนในห้องเรียนขนาดใหญ่ให้มีระดับระดับสูงขึ้น
2. เป็นการช่วยเหลือทางสังคมสำหรับผู้เรียนที่มีความเสี่ยง
3. สนับสนุนพัฒนาการระหว่างบุคคลและทักษะของทีม
4. ส่งเสริมความกระตือรือร้นของผู้สอน
รูปแบบการสอนโดยใช้ทีมเป็น เป็นเพียงรูปแบบหนึ่งที่ผู้เขียนเห็นว่า
ในการจัดการเรียนการสอนทั้งในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและระดับอุดมศึกษา
สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้เป็นผู้ที่มีความรู้ที่ยั่งยืนติดตัวผู้เรียนไปในอนาคตได้
ซึ่งจากหลักการ แนวคิด และวิธีการจัดการเรียนการสอนที่ได้นำเสนอไปนั้น
เป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับครู อาจารย์และนักการศึกษาทั้งหลาย
ที่จะนำไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น